ขายเกลือเสริมไอโอดีนถุงเล็ก

ขายเกลือไอโอดีน

  ขายเกลือบริโภคเสริมไอโอดีน ถุงเล็ก ขายส่งเหมาะสำหรับ ร้านค้าปลีก-ร้านค้าส่ง เพื่อจำหน่ายหรือ โรงพยาบาล สาธารณสุข รพ.สต.​ โรงพยาบาลส่งเสริม...

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด

เกลืออินเดีย

เกลือหิมาลัย มีประโยชน์สูงสุด และสะอาดที่สุด

เกลือหิมาลัย หรือเกลือหิมาลายัน (Himalayan Salt) มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ อาทิ เกลือแขก, เกลืออินเดีย, เกลือดำ, เกลือสีชมพู ฯลฯ เป็นเกลือจากเทือกเขาหิมาลัยซึ่งเกิดจากทะเลยุคโบราณกว่า 250 ล้านปี ที่เปลือกโลกแผ่นดินทวีปแอฟริกาเคลื่อนมาชนกับทวีปเอเชียจนเกิดเป็นเทือกเขาหิมาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ธรรมชาติได้สร้างเกลือหิมาลัยโดยพลังงานแสงแดดทำให้ทะเลในยุคหลายร้อยล้านปีแห้งเกิดเป็นผลึกของเกลือ

ผลวิจัยทางการแพทย์จากหนังสือ “Water & Salt” – The Essence of Life” โดย ดร.บาร์บาร่า เฮ็นเดล แพทย์และนักชีวฟิสิกส์ และ มร.ปีเตอร์ เฟอร์เรร่า บอกว่า เกลือหิมาลัยเป็นเกลือที่มีประโยชน์สูงสุด และ สะอาดที่สุดเท่าที่มีอยู่ในโลก

เกลือหิมาลัย มีแร่ธาตุต่างๆ 84 ชนิด หินเกลือสามารถปล่อยประจุลบ (Negative Ions) ซึ่งเรียกว่าวิตามินอากาศ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ 

ประโยชน์ของเกลือหิมาลัย

- ใช้ปรุงอาหาร
จะช่วยดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์,  รักษาสมดุลน้ำในร่างกาย, รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ,ควบคุมสมดุลต่างๆภายในเซลล์ ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง

- ใช้เพื่อสุขภาพและความงาม
ลดรอยช้ำรอบดวงตา :
เกลือ 1 ช้อนชาในน้ำร้อนครึ่งถ้วย จากนั้นใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือมาปิดตาไว้สัก 5-10 นาที รอยช้ำรอบดวงตาจะค่อยๆจางลง

ลดความมันบนใบหน้า :
นำผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนบิดให้หมาดๆ มาปิดหน้าไว้ 3-5 นาที เพื่อช่วยเปิดรูขุมขน ใส่น้ำลงในขวดสเปรย์ เติมเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เกลือละลาย แล้วฉีดใส่ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้แห้ง

ขัดผิวให้สวยใส :
ใช้เกลือแบบผงถูตัว ใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูขัดตัวให้ทั่วตัว จะช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกมาได้ และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายได้ดี

เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว :
เกลือ 1/2 ถ้วยลงในอ่างอาบน้ำ แช่ตัวประมาณ 15-20 นาที เช็ดตัวให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงผิวซ้ำ เกลือจะช่วยให้ผิวชุ่มชื่นยิ่งขึ้น

ผ่อนคลายเท้าเมื่อยล้า : ผสม เกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำอุ่น นั่งแช่เท้าประมาณ 30 นาที วิธีนี้เหมาะกับสาวๆ ที่สวมรองเท้าส้นสูงนานๆ ผู้ที่เดินนานๆ

******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานไปต่อยอดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่ตอบคำถามเพิ่มเติม  ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
เรียบเรียงโดย ชีวอโรคยา อ้างอิงข้อมูลจาก wikipedia KT Nature  / en.wikipedia.org / หนังสือ “Water & Salt” – The Essence of Life”   
ขอบคุณภาพจาก en.wikipedia.org   

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
ติดตามข้อมูลข่าวสาร การดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
ขอบคุณชีวอโรคยา

ทำขิงดองก็ต้องใช้เกลือ

อากาศหนาวเย็นมากินขิงดองกันเถอะ

แก้หวัดแก้ไอ-ทำให้ร่างกายอบอุ่น  ขับลมในลำไส้-ช่วยย่อยอาหาร

เตรียมขวดที่มีฝากปิดมิดชิด (10 ออนซ์)
ส่วนผสม

ขิงอ่อน 1 กิโลกรัม
เกลือ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย
น้ำ 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 ลูก

วิธีทำขิงดอง

ลอกเปลือกขิงแล้วฝานบางๆ แล้วนำไปแช่ในน้ำผสมเกลือ
ตั้งไฟเคี่ยวน้ำตาล น้ำส้มสายชู และเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่าครึ่งถ้วย เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลายแล้วปิดไฟวางทิ้งไว้ พอเริ่มอุ่นแล้วเทส่วนผสมลงไปในขวดแก้วที่เตรียมไว้
นำขิงขึ้นมาจากน้ำเกลือและบีบน้ำเกลือออกให้หมด จากนั้นให้นำขิงลงไปแช่ในขวดที่มีส่วนผสมน้ำดองขิง
บีบมะนาวตามลงไปและขนให้ทั่วๆ ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนที่ทำให้ขิงเป็นสีชมพู
จากนั้นก็ปิดฝาให้มิดชิดแล้วนำเข้าตู้เย็น
 เคล็ดลับ

หลังจากดองขิงเสร็จให้แช่ไว้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง ขิงดองจะอร่อยและได้ที่พอดี
ปิดฝามืดชิดวางไว้ในอุณหภูมิห้องได้ แต่หากเก็บไว้ในตู้เย็นจะอยู่ได้ถึง 2 เดือน

Cr.อลิศ แก้วมีศรี

กินเค็มเกิดโรคอะไร

 เมื่อพูดถึง “ความเค็ม” คนส่วนใหญ่จะนึกถึง “เกลือ” ที่ใช้ในการปรุงแต่งรสอาหารให้มีความเค็มหรืออาจใช้ในการถนอมอาหาร ดังนั้นเกลือจึงสื่อถึงรสชาติเค็มของอาหาร “เกลือ” คือสารประกอบทางเคมีที่เรียกว่า “โซเดียมคลอไรด์” และคนทั่วไปมักจะเรียก “เกลือแกง” ที่ใช้ประกอบอาหารว่าโซเดียมคลอไรด์ โซเดียมเป็นแร่ธาตุธรรมชาติที่ร่างกายต้องการ และร่างกายไม่สามารถผลิตโซเดียมได้เอง จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารในปริมาณที่เหมาะสม

ทั้งนี้เราควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (หรือ 1 ช้อนชา) ส่วนคนที่เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงไม่ควรเกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ปัจจุบันคนไทยบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงกว่าที่ร่างกายต้องการถึง 2 เท่า หรือวันละ 4,000 มิลลิกรัม จากพฤติกรรมต่างๆ เช่น เติมน้ำปลาทุกครั้งที่กินอาหารตามร้านและที่บ้าน ใช้ผงปรุงรสสารพัดชนิดทุกครั้งที่ปรุงอาหารบริโภคอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป สัปดาห์ละหลายครั้ง

กินเค็ม เกิดโรคอะไร
ถึงแม้ “โซเดียม” จะมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่การบริโภคโซเดียมมากเกินไปกลับมีผลเสียต่อสุขภาพ และส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ หลายโรค เช่น
- ความดันโลหิตสูง คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่า 11 ล้านคน
- หัวใจวาย คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดปีละ 4 หมื่นคน หรือวันละ 108 คน
- อัมพฤกษ์ อัมพาต คนไทยเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มากกว่า 5 แสนคน
การกินเค็มจัดทุกวัน มีโอกาสสูงที่หลอดเลือดสมองจะตีบตันหรือแตก ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
- ไตวาย คนไทยเป็นโรคไต มากกว่า 7.6 ล้านคน มีการประเมินค่าใช้จ่าย “ฟอกเลือดล้างไต” คนละประมาณ 2 แสนบาทต่อปี ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเดินทางไปสถานพยาบาลและค่าเสียเวลาอื่นๆ (ลูกหลานต้องหยุดงานเพื่อพาผู้ป่วยไปฟอกเลือดล้างไต)

จะเห็นได้ว่าการบริโภคโซเดียมสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่ปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร “โซเดียม” จึงกลายเป็นตัวอันตรายในอาหาร หากบริโภคอย่างไม่ระมัดระวัง

ขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน

สารพัดประโยชน์เกลือ

 
       เกลือ ที่เราใช้ปรุงรสอาหารในครัวเรือนนั้น มีประโยชน์มากมายนอกจากจะปรุงรสในอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารไอโอดีน ช่วยไม่ให้เป็นโรคคอหอยพอกได้อีกด้วย และที่ไม่น่าทึ่งเกี่ยวกับประโยชน์ของเกลือ ก็คือ สามารถรักษาโรคต่างๆได้มากมาย  เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราไปดูกันซิว่า "เกลือ" (salt)  รักษาโรคอะไรได้บ้าง
   
          ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเกลือ กันก่อนว่า คือ อะไร :
ทางวิทยาศาสตร์การอาหาร เกลือนั้นหมายถึง เกลือที่ใช้ในการปรุงอาหาร (cooking salt หรือ table salt) ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า Sodium Chloride (NaCl) เกลือบริสุทธิ์นั้นมีลักษณะสีขาว  ผลึกรูปร่างไม่คงที่  แต่จัดว่าเป็นแบบ ลูกบาศก์ (Cubic system) เกลือมีคุณสมบัติในการดูดความชื้น (hygroscopic) และจะมีคุณสมบัตินี้มากขึ้น ถ้าเกลือนั้นไม่บริสุทธิ์
ทางเคมี เกลือ เป็นสารประกอบ ไอออนิก (ionic compound) ประกอบด้วยแคตไอออน (cation : ไอออนที่มีประจุบวก) และแอนไอออน (anion : ไอออนที่มีประจุลบ) ทำให้ผลผลิตที่ได้เป็นกลาง (ประจุสิทธิเป็นศูนย์) ไอออนเหล่านี้อาจเป็นอนินทรีย์ (Cl-) กับอินทรีย์ (CH3COO-) และไอออนอะตอมเดี่ยว (F-) กับไอออนหลายอะตอม (SO42-) เกลือจะเกิดขึ้นได้เมื่อกรดและเบสทำปฏิกิริยาด้วยกัน โดยมีคุณสมบัติดังนี้

    เกลือ เป็นสารประกอบ สถานะปกติเป็นของแข็ง ไม่นำไฟฟ้า
    เกลืออาจจะละลายน้ำหรือไม่ละลายน้ำก็ได้  หากละลายน้ำจะทำให้น้ำเป็นสารละลาย (อิเล็กโทรไลต์) เพราะเกลือแตกตัวเป็นไอออนทำให้น้ำนั้นนำไฟฟ้าได้
    สารละลายเกลืออาจเป็นกรด กลาง หรือเบสก็ได้

- เกลือที่มีคุณสมบัติเป็นกรด เกิดจาก กรดแก่ + เบสอ่อน
-เกลือที่มีคุณสมบัติเป็นกลาง เกิดจาก กรดแก่ + เบสแก่
-เกลือที่มีคุณสมบัติเป็นเบส เกิดจาก กรดอ่อน + เบสแก่
เกลือที่เรารู้จักโดยทั่วไปคือ เกลือแกง มีสภาพเป็นกลาง เกลือแกง มีรสเค็ม ใช้ในการปรุงรส เกลือแกงมีคุณสมบัติในการดูดน้ำออกจากเนื้อสัตว์  ผัก ทำให้สามารถช่วยชะลอระยะเวลาอาหารเสียช้าลง
เกลือเรียกตามแหล่งที่มา มี 2 ประเภทได้แก่

    เกลือสมุทร (Sea salt) คือ เกลือที่ได้จากสูบน้ำทะเลเข้ามาขังไว้ในที่นา ผึ่งแดดและลมจนน้ำระเหยเหลือแต่ผลึกเกลือสีขาว
    เกลือสินเธาว์ หรือ เกลือหิน คือ เกลือที่ได้จากดินเค็ม โดยการปล่อยน้ำลงไปละลายหินเกลือที่อยู่ใต้ดินแล้วจึงสูบน้ำกลับขึ้นมาตากหรือต้มให้น้ำระเหยไป

 ลักษณะของเกลือแบ่งเป็น 2 ชนิด

    เกลือเม็ด ผลิตโดยชาวนาเกลือทะเลและผู้ผลิตเกลือสินเธาว์ด้วยวิธีตาก นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การดองผักผลไม้ และไอศกรีม
    เกลือป่น ผลิตโดยโรงงานเกลือป่นที่ซื้อเกลือเม็ดจากชาวนาเกลือมาแปรรูปเป็นเกลือป่น และผู้ผลิตเกลือสินเธาว์ด้วยวิธีการต้ม เกลือป่นที่ไม่ต้องผ่านการแปรรูปนิยมทำเป็นเกลือบริโภคตามบ้านเรือน

คุณสมบัติในการรักษาโรคของเกลือ

    ไอเพราะเป็นหวัด แค่เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ ทีนี้ก็ไม่ต้องไอให้คนข้างๆ รำคาญแล้ว
    มึนหัว สมองไม่แล่น สาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้รวดเร็ว  เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง
    เร่งให้อาเจียน ถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ
    คัดจมูก จะแค่คัดจมูกน้ำมูกไหล หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก็ตาม ให้ใช้น้ำเกลือเจือจางหยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก จะได้หยุดซี้ดซ้าดปาดน้ำมูกได้เสียที
    คันตามผิวหนัง ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์
    โรคตาแดง โรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเองก่อนถึงมือหมอได้ง่ายๆ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี) จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว ก็ล้างตาหลายๆ ครั้งด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาของคุณจะทุเลาลง
    แผลยุงกัด ถ้าใครถูกเจ้ายุงตัวร้ายมาขอบริจาคเลือดไป แถมยังทิ้งรอยแผลไว้เป็นที่ระลึก อย่ามัวแต่เกาให้เสียลุคส์สาวงาม รีบๆ ใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไป และรอยบวมก็จะยุบเร็ว

          ทีนี้เพื่อนๆ เชื่อหรือยังคะว่า  เกลือมีประโยชน์สารพัดจริงๆ รู้อย่างนี้แล้วเราก็ควรหันมาให้ความสนใจกับเลือมากกว่าที่จะรู้จักเกลือในฐานะเครื่องปรุงรสอาหารเท่านั้น


บทความดีดีจากเว็บเพื่อนบ้านครับ..

ปัญหาป่วยโรคเอ๋อคนไทยลดลง

      
         กระทรวงสาธารณสุข เปิดงานรณรงค์เนื่องในวันไอโอดีนแห่งชาติ วันที่ 25 มิถุนายนของทุกปี เผยเพราะพระบารมีในหลวง ทำให้โรคเอ๋อลดลง ประชาชนใช้เกลือและผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนเพิ่มมากขึ้นครอบคลุมครัวเรือนร้อยละ 90-99 ไอคิวเด็กไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 98 จุดเท่ามาตรฐานสากล ตั้งอสม. 1 ล้านคนเป็นทูตไอโอดีน เพื่อควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มวัยทุกหมู่บ้าน และให้ไอคิวเด็กไทยเท่าสากล

วันนี้ (25 มิถุนายน 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานรณรงค์เนื่องในวันไอโอดีนแห่งชาติ ที่สถานีรถไฟ (หัวลำโพง) กรุงเทพมหานคร ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ 25 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันไอโอดีนแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2545 เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่สภานานาชาติเพื่อการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีน หรือไอซีซีไอดีดี (International Council for Control of Iodine Deficiency Disorders, ICCIDD) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทอง ICCIDD ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณในการวินิจฉัยปัญหา และพระราชทานแนวทางการแก้ไขโรคขาดสารไอโอดีนหรือโรคเอ๋อในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขจึงดำเนินงานเพื่อควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนมาอย่างต่อเนื่อง และจัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันไอโอดีนแห่งชาติเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2546 เพื่อสร้างกระแสและรณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงภัยร้ายของการขาดสารไอโอดีน

นายวิทยากล่าวว่า การขาดสารไอโอดีนจะพบได้ในทุกกลุ่มอายุและจะแสดงผลชัดเจนในกลุ่มเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา หากหญิงตั้งครรภ์ขาดสารไอโอดีนจะส่งผลให้ทารกมีพัฒนาการทางสมองไม่เต็มที่ และหากขาดสารไอโอดีนมาก อาจทำให้เด็กทารกในครรภ์เสียชีวิต แท้งหรือพิการได้ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้พื้นที่ที่มีหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับไอโอดีนในปัสสาวะน้อยกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลิตร เกินร้อยละ 50 เป็นพื้นที่ขาดสารไอโอดีน ซึ่งจากการสำรวจไอโอดีนในปัสสาวะหญิงตั้งครรภ์ 75 จังหวัดในประเทศไทย พบหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับไอโอดีนในปัสสาวะต่ำกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลิตร มีแนวโน้มลดลง จากร้อยละ 71.8 ในปี 2549 เหลือร้อยละ 52.5 ในปี 2553 และจากการประเมินล่าสุดในปี 2555 พบว่าลดลงเหลือร้อยละ 39.7 ขณะเดียวกันพบว่าสถานการณ์ไอคิวเด็กไทยดีขึ้น ปัจจุบันค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 98 จุด จากเดิมในปี 2552 เฉลี่ย 91 จุด แม้จะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสากล แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ที่มีไอคิวเฉลี่ย 104 จุด จะต้องเฝ้าระวังและป้องกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาสติปัญญาของเด็กไทยสูงขึ้น

 “มาตรการหลักในการให้คนไทยทุกคนได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอ ไม่อยู่ในภาวะเสี่ยงและขจัดปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนให้หมดไปจากประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นการส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนใช้เกลือเสริมไอโอดีนและผลิตภัณฑ์ปรุงรสเสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพ เช่นน้ำปลา ซีอิ๊ว และซอสปรุงรสในการปรุงอาหารทุกครั้ง โดยแต่งตั้งอสม.จำนวน 1 ล้านคนเป็นทูตไอโอดีน สร้างความเข้มแข็งและให้ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ ส่งผลให้ขณะนี้ครัวเรือนใช้เกลือเสริมไอโอดีนทั่วประเทศครอบคลุมถึงร้อยละ 90 บางจังหวัดสูงถึงร้อยละ 99 ซึ่งสูงกว่าปี 2552 ที่มีเพียงร้อยละ 77เท่านั้น และได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายแก้ปัญหาขาดสารไอโอดีนขับเคลื่อนให้เกิดชุมชน/หมู่บ้านไอโอดีนทั่วประเทศแล้ว 72,766 แห่งจากทั้งหมด 77,373 แห่ง และผ่านการรับรองเป็นชุมชน/หมู่บ้านไอโอดีนอย่างเป็นทางการแล้ว 38,663 แห่ง ใน 71 จังหวัด” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ด้านนายแพทย์สุรวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้กรมอนามัยสำรวจการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนใน ในประชากรวัยทำงานที่มีอายุ 20 – 59 ปี ในพื้นที่ศูนย์อนามัยเขตของกรมอนามัย 12 จังหวัด จำนวน 1,703 คน ในปี 2555 พบว่า ร้อยละ 94.5 มีการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนในครอบครัว ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนที่ใช้มากที่สุด คือ เกลือเสริมไอโอดีนร้อยละ 87.8 รองลงมาคือ น้ำปลาร้อยละ 75.1 ซ๊อสร้อยละ 55 และซีอิ๊วร้อยละ 53.1 นอกจากนี้ ร้อยละ 84.1 ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนมากกว่า 1 ชนิด ส่วนใหญ่ใช้ 4 ชนิด คือ เกลือ น้ำปลา ซ๊อส และซีอิ๊ว รองลงมาคือ 2 ชนิด คือ เกลือและน้ำปลา คิดเป็นร้อยละ 31.1 และ 19.6 ตามลำดับ

ทางด้านนพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เมื่อสำรวจการรับรู้ของประชาชนด้านการควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนพบว่า ประชาชนร้อยละ 92.1 รู้ว่าสารไอโอดีนมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านการเสริมสร้างพัฒนาการสติปัญญาในเด็กเล็ก ร้อยละ 82.7 รู้วิธีป้องกันการขาดสารไอโอดีน โดยการรับประทานอาหารทะเล และผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีน ร้อยละ 79.2 รู้ว่ามีกฎหมายบังคับให้เกลือและผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส 4 ชนิด ได้แก่ น้ำปลา น้ำเกลือปรุงรส ซ๊อส ซีอิ๊ว ต้องเติมสารไอโอดีน

 “ทั้งนี้ แนวทางการขับเคลื่อนงานในอนาคตกรมอนามัย จะขับเคลื่อนให้เกิดจังหวัดไอโอดีน ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพต่อไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

- See more at: http://www.hfocus.org/content/2012/06/772#sthash.LFCBd5Hk.dpuf

กินเกลือมากไปก็ไม่ดี

    คนไทยกินเกลือเกินจำเป็นเสี่ยงอัมพฤกษ์


       เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ซอยศูนย์วิจัย ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย แถลงข่าว "การจัดงานสัปดาห์วันไตโลก ลดเค็มครึ่งหนึ่ง" ว่า จากการสำรวจการบริโภคเกลือของคนไทยโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่า คนไทย บริโภคเกลือและโซเดียมสูงเกินกว่าที่แนะนำ 2 เท่า หรือ 10.8 กรัม (โซเดียม 5,000 มิลลิกรัม) สูงเป็น 2 เท่าของที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ที่ควรบริโภคไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน (โซเดียม 2,400 มิลลิกรัม) โดยร้อยละ 71 มาจากการเติมเครื่องปรุงรสระหว่างการประกอบอาหาร ที่นิยมใช้มาก 5 ลำดับแรก คือ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว เกลือ กะปิ และซอสหอยนางรม

ผศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบจะพบว่าเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 6,000 มิลลิกรัม น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,160-1,420 มิลลิกรัม ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 960-1420 มิลลิกรัม ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะมีปริมาณโซเดียม 1,150 มิลลิกรัม กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,430-1,490 มิลลิกรัม ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 420-490 มิลลิกรัม นอกจากนี้ ยังพบว่าอาหารถุงปรุงสำเร็จ มีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยต่อถุง 815 -3,527 มิลลิกรัม เช่น ไข่พะโล้ แกงไตปลา คั่วกลิ้ง เป็นต้น ส่วนอาหารจานเดียว มีปริมาณโซเดียม 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อ 1 จาน อาทิ ข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู และข้าวคลุกกะปิ เป็นต้น

"การรับประทานอาหารรสเค็มจัด จะส่งผลให้ความดันโลหิตสูง เพิ่มการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และยังมีผลเสียต่อไตโดยตรง ทำให้หัวใจทำงานหนักก่อให้เกิดภาวะหัวใจวาย และความดันโลหิตสูง ความดันในสมองเพิ่มขึ้น มีโอกาสเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ จึงควรสร้างนิสัยการรับประทานอาหารอ่อนเค็ม เพื่อสุขภาพที่ดี เริ่มจากการการลดเค็มลงครึ่งหนึ่ง จะช่วยคนไทยห่างไกลโรค" ผศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าว และว่า การลดปริมาณโซเดียมที่รับประทานทำได้โดย หลีกเลี่ยงการใช้เกลือ น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ และผงชูรส ในการปรุงอาหาร, หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุง เช่น ปรุงรสเพิ่มในก๋วยเตี๋ยว เติมพริกน้ำปลาในข้าวแกง เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556

เส้นทางเกลือ

แนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน "เส้นทางเกลือ"



ใน การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพบว่าปัญหาการขาดสารไอโอดีนจนเกิดเป็นโรคคอพอกนั้นยังมีอยู่มากมายหลาย พื้นที่ และยามที่เสด็จพระราชดำเนินไปในท้องที่ทุรดันดารนั้นมีผู้คนที่เข้าเฝ้าทูล ละอองธุลีพระบาทจำนวนมากที่เป็นโรคนี้ และขอรับการรักษาจากคณะแพทย์หลวงที่ตามเสด็จฯ พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระเมตตาและสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนเป็น อย่างมาก ถึงกับเคยทรงนำเกลือผสมไอโอดีนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปทรงแจกประชาชนในถิ่น ทุรกันดารมาแล้วหลายครั้ง เมื่อ วันที่ 9 มีนาคม 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวพระราชดำเนินไปเยี่ยมชมกิจกรรมของวิทยาลัยเทคนิค เชียงใหม่ ซึ่งในการนี้ได้ทอดพระเนตรการสาธิตการทำงานของเครื่องผสมเกลือไอโอดีน ซึ่งทางวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ได้ผลิตขึ้นและน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานให้แก่จังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือที่ราษฎรประสบปัญหาของการขาดสารไอโอดีน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริว่า
...ให้ พิจารณาแก้ไขปัญหาของการขาดสารไอโอดีนของราษฎรโดยการสำรวจพื้นที่ในแต่ละ พื้นที่ถึงปัญหา และความต้องการเกลือ ซึ่งแต่ละท้องถิ่นที่จะมีปัญหาและความต้องการไม่เหมือนกันโดยเฉพาะต้องสำรวจ เส้นทางเกลือ ว่าผลิตจากแหล่งใด ก็น่าที่จะนำเอาไอโอดีนไปผสมกับแหล่งผลิตต้นทางเกลือเสียเลยทีเดียว...

1. ศึกษาและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนสารไอโอดีน โดยการค้นหา เส้นทางเกลือ ตั้งแต่แหล่งผลิตจนถึงผู้บริโภค
2. นำไอโอดีนไปผสมที่แหล่งผลิตหรือแหล่งจัดจำหน่ายโดยเติมให้ฟรีก่อน หากภายหลังพ่อค้าและภาคเอกชนเกิดศรัทธาสมทบก็สามารถทำได้
3. หาก บางท้องที่ไม่อาจเติมไอโอดีนที่แหล่งต้นทางได้ ทรงแนะนำว่าควรนำเครื่องเกลือผสมไอโอดีนไปบริการในลักษณะหน่วยบริการเคลื่อน ที่เข้าไปในหมู่บ้านต่างๆ กล่าวคือ ใครมีเกลืออยู่แล้วก็ผสมให้ฟรี หรืออาจเอาเกลือธรรมดามาแลกกับเกลือผสมไอโอดีนก็ได้
4. พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดให้ใช้อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอำเภอต้นแบบในการศึกษาแก้ไขปัญหาการขาดแคลนสารไอโอดีนว่ามี เส้นทางเกลือ มาจากแหล่งใด



ผลการสำรวจ เส้นทางเกลือ
จาการค้นคว้า เส้นทางเกลือ ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2536 เป็นต้นมาสรุปได้ว่า
เกลือผสมไอโอดีนส่วนใหญ่เป็นเกลือป่น
เกลือที่ไม่ได้ผสมสารไอโอดีนเพิ่มเข้าไปจะมีทั้งเกลือป่นและเกลือเม็ด
เกลือป่นส่วนใหญ่เป็นเกลือสินเธาว์จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเกลือเม็ด
ส่วนใหญ่เป็นเกลือสมุทรจากสมุทรสงคราม สมุทรสาคร และเพชรบุรี
เส้นทางเกลือที่ไม่ผสมไอโอดีน มีแหล่งผลิตและจำหน่ายที่สำคัญ รวม 4 เส้นทาง คือ
1. ส่วนที่ 1 จากจังหวัดสมุทรสาคร เป็นแหล่งรวมเกลือสมุทรจากเพชรบุรีและสมุทรสงครามส่งไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ และส่งขายต่อร้านค้าย่อยในอำเภอสะเมิง
2. ส่วนที่ 2 พ่อค้าเชียงใหม่ซื้อตรงจากสมุทรสาคร โดยรถสิบล้อบรรทุกขึ้นมาแล้วมาบรรจุใส่ซองพลาสติดใส นำขึ้นรถปิดอัพเร่ขายในอำเภอสะเมิงและพื้นที่ใกล้เคียง
3. ส่วนที่ 3 พ่อค้าจากมหาสารคาม มีการซื้อเกลือสินเธาว์ป่นแถบอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี และย่านหนองกวั่ง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร มาบรรจุซองที่จังหวัดมหาสารคาม แล้วนำเกลือไปเร่ขายทั่วประเทศโดยใช้รถหกล้อ ซึ่งมีการส่งขายถึงเชียงใหม่ และเข้าสู่อำเภอสะเมิงในที่สุด
4. ส่วนที่ 4 จากกรุงเทพมหานคร โดยพ่อค้ารายใหญ่จัดส่งไปขายที่เชียงใหม่และแถบใกล้เคียงโดยใช้เกลือสมุทรธรรมดา


วิธีการผลิตเกลือเสริมไอโอดีนหรือเกลืออนามัย
โดยปกติแล้วคนเราต้องการธาตุไอโอดีนวันลประมาณ 100-150 ไมโครกรัมในปริมาณเกลือที่บริโภคต่อวัน เฉลี่ย 5.4 กรัม

อัตราส่วนเกลือไอโอดีน ต้องใช้ปริมาณไอโอเดทที่เสริมในเกลืออัตราส่วน 1:20,000 โดยน้ำหนัก เกลือ 1 กิโลกรัม ต้องเสริมโปแตสเซียมไอโอเดท 50 มิลลิกรัม เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับไอโอดีนวันละ 150 ไมโครกรัมต่อคนต่อวัน

โปแตสเซียมไอโอเดท 1 กิโลกรัม ผสมเกลือได้ 18 ตัน ซึ่งมีหลายวิธีการ ดังนี้

การเสริมไอโอดีนในเกลือโดยใช้วิธีผสมเปียก โดยการใช้ผงไอโอเดทปริมาณ 25 กรัม ผสมกับน้ำจำนวน 1 ลิตร ซึ่งผลการทดลอง ของวิทยาลัยเทคนิคสกลนครสามารถผลิตเกลือผสมไอโอดีนได้ครั้งละ 60 กิโลกรัม โดยการพ่นฉีดแต่ละครั้ง 60 กิโลกรัม โดยการพ่นฉีดแต่ละครั้ง จะใช้ไอโอดีนน้ำผสมประมาณครั้งละ 200 ซีซี. ต่อเกลือจำนวน 60 กิโลกรัม ซึ่งพบว่าได้ความเข้มข้นของไอโอดีนสม่ำเสมอดี


การเสริมเกลือไอโอดีนแบบผสมแห้ง
เป็นเครื่องผสมเกลือไอโอดีนที่ดำเนินการได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงโดยใช้วิธีผสม แห้งและใช้หลักการทำงานของเครื่องผสมทรายหล่อ และหลักการทำงานของเครื่องไซโลผสมอาหารสัตว์มาเป็นการทำงานของเครื่องผสม เกลือไอโอดีน ซึ่งใช้สะดวก กระทัดรัด ประหยัด ผสมได้ครั้งละ 60 กิโลกรัม โดยใช้ใบกวนหมุนภายในถังที่ตรึงอยู่กับที่ โดย ให้ความเร็วของการหมุนใบกวนสัมพันธ์กับลักษณะของใบกวนที่วางใบให้เป็นมุม เอียง เพื่อให้เกลือไหลและเกิดการพลิกตลอดเวลา ใช้เวลาในการคลุก 2 นาที โดยการหมุนทวนเข็มนาฬิกา ในกรณีที่มีความประสงค์จะผสมเกลือไอโอดีนด้วยตนเอง ก็สามรถทำได้ในอัตราส่วนดังกล่าว โดยใช้กะบะและไม้พายผสมโดยใช้แรงคนใช้เวลาผสมประมาณ 20-30 นาที หรือนานกว่าจึงจะได้ส่วนผสมที่ใช้การได้


เส้นทางเกลือจึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงห่วงใยในทุกวิถีแห่งการดำรงชีพของมวลพสกนิกรทั้งหลายโดยแท้


ที่มา : มูลนิธิชัยพัฒนา

ประโยชน์เกลือ


ประโยชน์ของเกลือนอกจากจะผสมในอาหารที่เรารับประทาน  ที่เพิ่มสารไอโอดีน  ช่วยให้คนเราไม่เป็นโรคคอพอกแล้ว
เกลือยังมีประโยชน์อีกมากมาย ทั้งการรักษาอาการโรคต่าง ๆ


1. โรคหวัด เมื่อเป็นจะมีอาการไอไม่หยุด ใช้น้ำเย็นต้มสุกแล้ว 1 ถ้วย ใส่เกลือ 1 ช้อนชา คนให้เกลือละลาย แล้วใช้บ้วนปากล้างคอ

ทำเช่นนี้หลาย ๆ ครั้ง สามารถขจัดเสมหะในหลอดลมได้ อาการไอก็ทุเลา

2. จมูกอักเสบ คัด น้ำมูกไหลไม่หยุด จมุกอักเสบเรื้อรัง ใช้น้ำเกลือเจือจางล้าง ใช้ขวดสะอาดใส่น้ำเกลือหยอดเข้าไปในรูจมูก

เพราะเกลือมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแก้อักเสบ


3. หากมีอาการคอแห้ง เสียงแหบ ให้ดื่มน้ำผสมเกลือเล็กน้อยจะรู้สึกชุ่มลำคอ
4. เร่งให้อาเจียน กินอาหารมีพิษ ดื่มสุราเกินขนาด อาหารไม่ย่อย ท้องไส้ปั่นป่วน ควรดื่มน้ำเกลือเข้มข้น จะทำให้อาเจียนออกมา
5. เป็นโรคตาแดง มีอาการบวมแดง ขี้ตามาก ใช้ผ้าขนหนูสะอาดห่อเกลือเล็กน้อย แช่ในน้ำอุ่นที่เดือดแล้ว ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตา

อาจมีอาการแสบบ้างก็ทนสักครู่ จะรู้สึกดีขึ้น
6. รักษาฟัน ใช้เกลือสีฟัน ทำให้ฟันขาวแข็งแรง ป้องกันฟันผุ
7. หากยุงกัดเป็นตุ่ม ใช้เกลือขยี้บริเวณที่โดนกัด สักครู่จะหายคัน ตุ่มจะยุบ
8. ผิวหนังบวมคัน ใช้เกลือผสมน้ำแล้วทาบริเวณที่คัน จะเห็นผลทันตา
9. ถ้ารู้สึกสมองไม่แจ่มใส ใช้เกลือผสมน้ำอุ่นแล้วใช้อาบ จะรู้สึกสบาย สมองปลอดโปร่ง

อรรถประโยชน์

1.ใช้เกลือสำหรับดองผัก ผลไม้ใส่เนื้อเพื่อทำเนื้อเค็มเพื่อเป็นการถนอมอาหารไว้รับประทานได้นาน
2.ใส่เกลือผสมน้ำส้มสายชูดองผักให้ได้รสเปรี้ยว
3.ถ้าจะเก็บน้ำพริกเครื่องแกงเอาไว้ให้นานให้ใส่เกลือจะช่วยไม่ให้เครื่องแกงบูดเสียเร็ว
4.โขลกเกลือกับพริกแห้งก่อนใส่เครื่องแกงจะทำให้โขลกละเอียดเร็วขึ้น
5.โรยเกลือป่นบนมือหลังจากปอกหัวหอมหรือหลังจากทำปลากลิ่นจะหมดไป
6.ผสมเกลือในน้ำล้างผักเพื่อฆ่าเชื้อโรค
7.โรยเกลือป่นเล็กน้อยบนเตาไฟเพื่อช่วยให้ไม่ให้มีเขม่าดำ
8.โรยเกลือป่นเล้กน้อยลงบนกระทะเมื่อทอดปลาหมู เนื้อ ไก่ จะทำให้อาหารไม่ติดกระทะ
9.ใส่เกลือในผักต้มจะทำให้ผักมีสีเขียว
10.ถ้าใส่เกลือป่นเล็กน้อยในจานผลไม้แตงโมมะละกอ สัปะรด สตอเบอรี่ จะทำให้รสผลไม้หวานขึ้น

11.ใช้เกลือทำน้ำปลา กะปิปลาร้า ทำปลาเค็มและเนื้อสัตว์ ทุกชนิดที่จะทำให้แห้งเก็บไว้รับประทานนาน
12.ใส่เกลือในน้ำผลไม้คั้นที่มีรสเปรี้ยวจะทำให้มีรสอร่อย
13.จะเก็บมะขาม เปียกไว้ให้ทนนานไม่ให้ดำ และไม่มีหนอนให้โรยเกลือเม็ดให้ทั่ว เก็บไว้ภาชนะที่มีฝาปิด
14.เขียงที่ทำปลาสดเหม็นคาวให้โรยเกลือป่นจนทั่วแล้วล้างให้สะอาด จะทำให้เขียงหายเหม็นคาวหม้อ ระทะ ที่เหม็นคาว
เมื่อจะนำมาประกอบอาหารให้ใช้เกลือป่นโรยแล้วล้างจะช่วยให้หม้อกระทะหายเหม็นคาว
15.เวลาต้มไข่ใส่เกลือเล็กน้อยจะช่วยให้ปอกเปลือกล่อน
16.เวลาปั่นไอศกรีมใส่เกลือเม็ดในน้ำแข็งส่วนผสมที่ทำไอศกรีมไม่แข็งตัวเลย
17.ใช้เกลือสำหรับทำไข่เค็มและไข่เยี่ยวม้า
18.ต้มมะละใบขี้เหล็กลวกสะเดาใส่เกลือเล็กน้อยช่วยให้ความขมหายไป
19.มะม่วงกวน ฟักทองกวน กล้วยกวนใส่เกลือป่น 1 ช้อนชา ช่วยให้ขนมที่กวนมีรสหวานอร่อย และช่วยอยู่นานหลายวันไม่เสีย

20.นึ่งปลาโรยเกลือเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เนื้อปลายุ่ยไม่เหม็นคาว
21.ส่วนผสมของขนมปัง คุกกี้ ปลาท่องโก๋ใส่เกลือผสมเล็กน้อย
22.น้ำเกลือแช่ผักที่มียาง
23.ทดลองง่ายๆว่าไข่สุกหรือไม่นำไข่ลอยในน้ำ 2 ลิตร ผสมเกลือ 1 ช้อนชาถ้าไข่สดไข่จะจมลงข้างล่างไข่ไม่สุกจะลอยขึ้นมา
24.ต้มผักควรเหยาะเกลือเล็กน้อยถ้าผักที่มีสีเขียวควรเปิดฝาต้มต้มหน่อไม้ควรปิดฝา
25.เอามือเเตะเกลือป่นก่อนทำปลาสดทำให้จับปลาได้ถนัดมือ
26.ตีไข่ขาวให้ฟูอย่างรวดเร็วใส่เกลือ 1/2 ช้อนชา
27.คั่วพริกขี้หนูแห้งใส่เกลือป่น 1 ช้อนชาจะทำให้ไม่ให้มีกลิ่นฉุน
28.ใส่เกลือเล็กน้อยในแป้งสาลี ที่นวดทำขนมทำให้แป้งยืดหยุ่นนุ่มนวล

29.โรยเกลือป่นเหนือตัวปลาก่อนย่างทำให้เนื้อปลาแข็ง
30.ล้างปลาหมึกด้วยน้ำเกลือจะทำให้ปลาหมึกขาวสะอาดและมีรสดี
31.กาแฟที่มีรสขมจัดใส่เกลือเล็กน้อยจะไม่ขม
32.มีดทำครัวเป็นสนิมใช้เกลือถูเช็ดให้แห้งมีดจะหายเป็นสนิม
33.ต้องการให้เนื้อสดที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งละลายเร็วขึ้นใส่เกลือแช่ไว้สักครู่จะช่วยละลายน้ำแข็งออกอย่างรวดเร็ว
34.เกลือแกงใช้ในการทำความสะอาดกำจัดความสกปรกได้เป็นอย่างดี
35.โถส้วมถ้าเทน้ำไม่ลงใส่เกลือเม็ด 1 กำมือ เพื่อให้เทน้ำลง
36.ซักผ้าม่านไหมให้นุ่มแช่ลงในน้ำ 1 แกนลอนผสมเกลือป่นก่อนนำไปซักตามแบบธรรมดา

สูตรผิวสวยด้วยเกลือ 

 ฟื้นฟูรอยหมองคล้ำรอบดวงตา

ส่วนประกอบ 

-เกลือ 1 ช้อนชา
-น้ำร้อนครึ่งถ้วย
-ผ้าขนหนูผืนเล็กหรือสำลีแผ่น                      
วิธีทำ
1.นำเกลือ 1 ช้อนชามาผสมลงในน้ำร้อนครึ่งถ้วยที่เตรียมไว้
2.ใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือมาปิดตาไว้สัก 5-10 นาที
3.ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดหน้าให้แห้ง
**ทำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง มันจะค่อยๆจางลงเอง**

ลดความมันบนใบหน้า

ส่วนประกอบ
-เกลือ 1 ช้อนชา
-น้ำร้อนปริมาณ 3/4 ของขวดสเปรย์
-ผ้าขนหนูผืนเล็ก
-ขวดสเปรย์(ไม่ต้องใหญ่มาก)
วิธีทำ
1.ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนพอหมาดๆ นำมาปิดหน้าประมาณ 3-5 นาที เพื่อปิดรูขุมขน
2.ใส่น้ำร้อนลงไปในขวดสเปรย์ เติมเกลือลงไป 1 ช้อนชา เขย่าให้เกลือละลาย
3.ฉีดน้ำเกลือใส่หน้าให้ทั่ว จากนั้นใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้แห้ง
**ทำเป็นประจำทุกเช้า**

เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

ส่วนประกอบ
-เกลือ 1/2 ถ้วย
-น้ำอุ่นอุณหภูมิเหมาะสำหรับการลงไปแช่ตัว
-ครีมบำรุงผิวที่ใช้เป็นประจำ
วิธีทำ
1.ผสมเกลือ 1/2 ถ้วยลงไปในอ่างอาบน้ำจนเกลือละลาย
2.แช่ตัวประมาณ 15-20 นาที จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง
3.ทาครีมบำรุงผิวที่ใช้เป็นประจำ
**ระวังเข้าตาด้วย เพราะจะทำให้แสบ ควรแช่ตัวตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป**

ขัดผิวให้สวยใส

ส่วนประกอบ
-เกลือผงสำหรับขัดตัว
-น้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ
-ครีมบำรุงผิวที่ใช้เป็นประจำล
-ฟองน้ำหรือผ้าขนหนู
วิธีทำ
1.ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ โดยไม่ต้องเช็ดให้แห้ง
2.ใช้เกลือสำหรับขัดตัว โดยใช้ฟองน้ำ หรือผ้าขนหนูที่เตรียมไว้ขัดให้ทั่วตัว จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดผิวให้แห้ง
3.ทาครีมบำรุงผิวที่ใช้เป็นประจำ
**เกลือจะช่วยให้เซลล์ผิวที่ตายหลุดออกมา และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนชองเลือดด้วย**

ผ่อนคลายอาการเมื่อยที่เท้า

ส่วนประกอบ
-เกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ
-น้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ
-ถังน้ำสำหรับแช่เท้า
วิธีทำ
1.ผสมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำอุ่นจนเกลือละลาย
2.นั่งแช่เท้าประมาณ 30 นาที
3.ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง
**เหมาะสำหรับคนที่เดินนานๆ หรือคนที่ใส่ส้นสูงตลอดวัน จะทำให้กล้ามเนื้อเท้าผ่อนคลายได้

เรื่องดี ๆ ต้องแบ่งปัน ^_^