ขายเกลือเสริมไอโอดีนถุงเล็ก

ขายเกลือไอโอดีน

  ขายเกลือบริโภคเสริมไอโอดีน ถุงเล็ก ขายส่งเหมาะสำหรับ ร้านค้าปลีก-ร้านค้าส่ง เพื่อจำหน่ายหรือ โรงพยาบาล สาธารณสุข รพ.สต.​ โรงพยาบาลส่งเสริม...

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหาร แสดงบทความทั้งหมด

เกลือสินเธาว์และเกลืออุตสาหกรมมแตกต่างกันยังไง

 เกลือสินเธาว์และเกลืออุตสาหกรรมมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้านค่ะ โดยหลักๆ แล้วจะแตกต่างกันที่ แหล่งที่มา กระบวนการผลิต และ องค์ประกอบ ซึ่งส่งผลต่อ คุณสมบัติ และ การนำไปใช้ประโยชน์ ที่แตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ

แหล่งที่มา

  • เกลือสินเธาว์: เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ โดยพบในชั้นดินหรือหินเกลือใต้ดิน มักพบในบริเวณที่มีน้ำเค็มใต้ดินหรือทะเลเคยทับถมมาก่อน
  • เกลืออุตสาหกรรม: ผลิตจากน้ำทะเลหรือแหล่งน้ำเค็มอื่นๆ โดยนำมาผ่านกระบวนการระเหยและตกผลึก

กระบวนการผลิต

  • เกลือสินเธาว์: กระบวนการผลิตค่อนข้างง่าย คือ การขุดเอาก้อนเกลือมาบดหรือละลายในน้ำ แล้วนำมาต้มหรือตากแดดให้แห้ง
  • เกลืออุตสาหกรรม: กระบวนการผลิตซับซ้อนกว่า มีการควบคุมคุณภาพและความบริสุทธิ์ของเกลืออย่างเข้มงวด

องค์ประกอบ

  • เกลือสินเธาว์: มีแร่ธาตุเจือปนอื่นๆ นอกจากโซเดียมคลอไรด์ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม ทำให้มีรสชาติที่ซับซ้อนกว่า
  • เกลืออุตสาหกรรม: ส่วนใหญ่ประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์เกือบทั้งหมด จึงมีรสชาติเค็มจัดและบริสุทธิ์กว่า

คุณสมบัติ

  • เกลือสินเธาว์: มีความชื้นสูงกว่า ทำให้จับตัวเป็นก้อนได้ง่าย มีรสชาติที่ซับซ้อนและมีแร่ธาตุอื่นๆ เจือปน
  • เกลืออุตสาหกรรม: มีความชื้นต่ำ ไม่จับตัวเป็นก้อนง่าย มีรสชาติเค็มจัดและบริสุทธิ์

การนำไปใช้ประโยชน์

  • เกลือสินเธาว์: เหมาะสำหรับใช้ในการปรุงอาหาร เนื่องจากมีรสชาติที่ซับซ้อนและมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
  • เกลืออุตสาหกรรม: เหมาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมอาหาร (บางประเภท) และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องการเกลือที่มีความบริสุทธิ์สูง

สรุป

คุณสมบัติเกลือสินเธาว์เกลืออุตสาหกรรม
แหล่งที่มาชั้นดินหรือหินเกลือใต้ดินน้ำทะเลหรือแหล่งน้ำเค็มอื่นๆ
กระบวนการผลิตง่ายซับซ้อน
องค์ประกอบมีแร่ธาตุอื่นๆ เจือปนส่วนใหญ่เป็นโซเดียมคลอไรด์
คุณสมบัติความชื้นสูง รสชาติซับซ้อนความชื้นต่ำ รสชาติเค็มจัด
การนำไปใช้ประโยชน์ปรุงอาหารอุตสาหกรรมต่างๆ

ข้อควรจำ:

  • เกลือสินเธาว์และเกลืออุตสาหกรรมต่างก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
  • การเลือกใช้เกลือชนิดใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน

หมอให้งดกินเกลือเสริมไอโอดีน

ตามหัวข้อเลยครับหมอสั่งห้ามกินเกลือไอโอดีน แนะนำผลิตภัณฑ์​เกลือสินเธาว์​ ตรากระทอ​ ไม่มีไอโอดีน​ ไม่มีสารเคมี​ ผลิตจากแหล่งน้ำเกลือ​ใต้ดิน​ชั้นดีของจังหวัดสกลนคร​

เกลือสินเธาว์​ป่น​ ตรากระทอ

 รายละเอียดสินค้า เกลือสินเธาว์ป่น ตรา กระทอ 1000g Fine​ Salt​ premium cooking​ salt​ Fine​ ผลิตจากแหล่งน้ำเกลือใต้ดินชั้นดีจังหวัดสกลนครเป็นเกลือสินเธาว์ต้ม ไม่มี​ไอโอดีน​ ขาว​ สะอาด​ รสชาติกลมกล่อม ไม่เค็มจัด​ ไม่เค็มขม ใช้หมักดองได้ 100%(เกลือสินเธาว์ต้ม)​
เกลือสินเธาว์ ขนาด 1,000 กรัม ตรา กระทอ
ผลิตด้วยวิธีการต้มน้ำเกลือใต้ดินธรรมชาติชั้นดีจังหวัดสกลนคร
ผลึกสวยงาม ละเอียด ความชื้นต่ำ ไม่เค็มจัด
นิยมใช้ในการปรุงอาหารทั่วไป และถนอมอาหาร (หมัก-ดอง)
สะอาดไร้สารฟอกขาว ไม่ใส่สารกันชื้น ไม่ใส่สาร Anticaking Agent
(ป้องกันการเกาะตัว)
เกลือสินเธาว์ตรา​ กระทอ​ Fine​ Salt​  premium cooking​ salt​ fine
ผลิตด้วยวิธีการต้มที่เป็นธรรมชาติจากแหล่งน้ำใต้ดินชั้นดีธรรมชาติจังหวัดสกลนคร (เกลือสินเธาว์ต้ม)
ใช้หมักดองอาหาร ผัก​ ผลไม้​ รสชาติอร่อย ถนอมอาหาร
ใช้หมักเนื้อ หมักหมู หมักไก่ หมักปลา เข้าถึงเนื้อในได้ดีและความเค็มกระจายคงที่
ใช้โรยปลาก่อนย่างไฟ รสไม่เค็มจัด  เพิ่มความกลมกล่อม







เกลือสินเธาว์ป่น​ ตรากระทอ
เกลือสินเธาว์​เม็ด​ ตรากระทอ

เกลือสินเธาว์เม็ด​ ตรากระทอ

ดอกเกลือสินเธาว์แท้​100​% ตรากระทอ

ทำกุ้งแห้งก็ต้องใช้เกลือ

กุ้งแห้ง ทำเองที่บ้าน

กุ้งแห้ง เป็นอาหารแห้งชนิดหนึ่ง โดยการทำให้แห้งเพื่อป้องกันการเน่าเสียของอาหารและสามารถเก็บไว้ได้นานยิ่งขึ้น ที่บ้านส่วนใหญ่มักมีติดไว้ประจำครัว กุ้งแห้งสามารถนำมาประกอบอาหาร หรือนำมารับประทานเล่นได้ การทำกุ้งแห้งตามวิธีธรรมชาตินั้น ทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากสารพิษ วันนี้ทางเพจเลยนำวิธีการทำกุ้งแห้ง จากเพจ ทำครัวง่ายๆbyจุไรรัตน์ มาฝากกันค่ะ

🦐วัตถุดิบ

 1.กุ้งแชบ๊วยตัวเล็กล้างให้สะอาด =1กิโล(กุ้งชนิดอื่นก็ได้)
 2.น้ำเปล่า 1.5ลิตร+เกลือ3ชต.(ใช้เกลือห่อ2บาท)

🦐วิธีทำ

 - ต้มน้ำกับเกลือให้เดือดๆ นำกุ้งลงไปต้มที่ละครึ่ง พอกุ้งสุกลอยขึ้นมาตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ นำไปตากแดด

 - ถ้าแดดแรงๆ1วันก็แห้งแล้ว

 - พอกุ้งแห้งใช้ไม้ทุบเปลือกกุ้งให้ร่อนออก นำไปตากแดดอีกที ชอบเเห็งน้อยแห้งมากเอาตามที่ชอบเลยค่ะ เก็บใส่ขวดแก้วปิดฝาให้สนิท แช่ในตู้เย็นจะเก็บได้นานกว่าอยู่ด้านนอก

 - ถ้าชอบออกเค็มเพิ่มเกลือได้อีก

 - รสที่ทำนี้ไม่เค็มชิมรสตั้งแต่ตอนต้มกุ้งเลยค่ะ จะได้รสตามต้องการ เลือกใช้กุ้งที่เปลือกแข็ง เวลาแห้งจะทุบง่าย


สูตรเด็ดวิธีการทำไข่เค็ม

ทำกินเองก็อร่อย ทำขายก็รวย

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. ไข่เป็ดล้างสะอาด เช็ดให้แห้ง 30 ฟอง

2. เกลือเม็ด 2 ถ้วยตวง

3. น้ำสะอาด 8 ถ้วยตวง

4. เหล้าขาว

5. สารส้ม 1 ก้อน ขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้ง

6. ถ้วยที่ใช้ตวงเกลือ กับน้ำ ปริมาตรราวๆ 270 ml

7. โหลแห้ว หรือโหลกระเบื้อง หรือโหลพลาสติค

8. ถุงพลาสติคใบใหญ่

9. ทัพพีโปร่ง

10. หม้อต้ม
วิธีการทำ

1. นำเกลือเม็ดกับน้ำเปล่ามาต้มรวมกันจนเกลือละลายหมด ก็ปิดไฟเตา

2. จากนั้นกรองน้ำเกลือด้วยผ้าขาวบางสักรอบนึงเผื่อว่ามีสิ่งสกปรกติดมาด้วย

3. ทำการพักไว้ให้น้ำเกลือเย็นสนิท

4. จากนั้นนำไข่เป็ดมาล้างทำความสะอาดโดยการนำน้ำใส่กาละมัง หยิบไข่เป็ดใส่ลงในน้ำและใช้ฟองน้ำถูเบาๆทีละฟองให้สะอาดจากนั้นล้างน้ำอีกรอบแล้วก็เช็ดให้แห้ง

5. พอแห้งนำไข่มาเรียงใส่ลงในโหลแห้ว หรือโหลกระเบื้อง หรือโหลพลาสติค

6. จากนั้นนำเหล้าขาวใส่ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำเกลือที่เย็นสนิทแล้ว (ข้อสังเกตุคุณจะเห็นว่าไข่ลอยขึ้นมาตุ๊บป่องๆบริเวณผิวน้ำ หากปล่อยไว้อย่างนี้ไข่จะเน่า ดังนั้นเราจึงต้องทำให้ไข่จมอยู่ใต้น้ำโดยการนำถุงพลาสติคใบใหญ่ๆมา1ใบ ใส่น้ำเปล่าลงไปพอประมาณ มัดปากถุงให้สนิทแบบเหี่ยว แล้ววางทับลงไปบนไข่ก็จะทำให้ไข่ดองเค็มของเราทั้งหมด จมลงไปอยู่ใต้ผิวน้ำ)

7. จากนั้นทำการปิดฝาให้สนิท(หากปิดฝาแล้วน้ำล้นออกมา ก็เทน้ำเกลือออกไปได้)

8. ทำการดองไว้ประมาณ 25 วัน

9. พอครบ 25 วัน ทำการเปิดฝาออก แล้วค่อย ๆ ใช้ทัพพีโปร่งตักไข่ออกมาใส่หม้อที่จะใช้ต้ม

10. ทำการหย่อนสารส้มใส่ลงไป 1 ก้อนเล็ก

11. เติมน้ำเปล่าลงไปพอท่วมไข่สัก 1 นิ้ว

12. นำหม้อตั้งเตาไฟใช้ไฟกลาง รอจนน้ำเดือดก็เริ่มจับเวลาโดยใช้เวลาต้มไข่เค็มประมาณ 15 นาที (ระหว่างต้มก็คนบ้างเป็นระยะ)

13. พอครบ 15 นาที ก็ตักไข่เค็มขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำและเย็นลง ก็เป็นอันพร้อมเสิร์ฟ

ปล.

1. สูตรนี้น้ำเกลือค่อนข้างอ่อน จึงใช้เวลาดองนานนิดนึง แต่ถ้าชอบเค็มจัด ดองไว้ ลดน้ำเหลือ 6-7 ถ้วย แล้วดองสัก 3 สัปดาห์ก็พอ

2. อายุการเก็บรักษาไข่เค็มถ้าอยู่ในอุณหภูมิห้องได้ประมาณ 20 วัน แต่ถ้าอยู่ในตู้เย็นก็ประมาณ 1 เดือน

หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครอยากรับประทานไข่เค็มก็ลองทำตามสูตรด้านบนได้เลย รับรองอร่อยฟินจนต้องบอกต่อ จะทำไว้ทานเองในครอบครัวหรือทำเป็นอาชีพก็ยังได้

ขอบคุณเจ้าของสูตรเจ้าของภาพ


สูตรเด็ดน้ำจิ้มปลาหมึกย่าง

ทำกินเองก็อร่อย ทำขายก็รวย
ขั้นตอนการทำดังนี้
1.หาซื้อปลาหมึกสด ที่ตลาด ให้เลือกที่สด ๆ นะวิธีส่วนตัวของผมเลือกที่ตัวใสๆถ้าเลือกได้นะ ส่วนตัวสีม่วง ๆ คล้ำ ๆ แสดงว่าอยู่กับแม่ค้ามานาน
2.วิธีล้างเพื่อไม่ให้ปลาหมึกเค็ม เพราะตอนที่เขาเอามาจากเรือเขาจะแช่เย็นและลงเกลือมา ถ้าเราไม่ล้างเอาความเค็มออก ปลาหมึกเราจะเค็ม วิธีการคือ เค็ม ตัด เค็ม โดยการที่เราเอาเกลือ 2 กำมือ ต่อปลาหมึก 1 กก ใส่รวมกันใส่น้ำ 1 ขันล้างโดยการตีฟอง ความเค็มที่ตัวปลาหมึกจะออกมาเอง ทำแบบนี้ประมาณ 2-3 ครั้ง สังเกต ฟองของน้ำลดลง
3. ให้นำสารส้ม มาล้างที่ตัวปลาหมึก จะบดผสมน้ำ หรือ เอามาขัดตามตัวปลาหมึกก็ได้ จะช่วยให้ปลาหมึกของเราไม่มีกลิ่นคาว
3.ให้เอาปูนขาว หรือน้ำปูนใส(ปูนกินหมากนะ ไม่ใช่ ปูนซีเมนต์) 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1-2 ขัน หลังจากนั้นให้เอา ปลาหมึกไปแช่น้ำปูน เวลาย่างปลาหมึกจะกรอบอร่อย
4. น้ำต้มสุกรอให้เย็น 1 ถ้วย ใส่ซีอิ๋วดำ 1 ช้อนโต๊ะ และเพื่อให้สีปลาหมึกเหลืองสวยน่ากิน ให้ใส่ผงขมิ้นลงไปเล็กน้อย
นำปลาหมึกลงไปคลุกกับน้ำซีอิ๋วให้ทั่ว นำไปเสียบกับไม้ย่าง ให้แห้งกรอบ
สูตรน้ำจิ้มปลาหมึกย่างน้ำจิ้มปลาหมึกย่างต้องมีรสชาติจี๊ดจ๊าดแบบสไตล์น้ำจิ้มซีฟูดส์ ปลาหมึกย่างจะอร่อยต้องมีน้ำจิ้มรสเด็ดควบคุ่กันไปด้วย
หมายเหตุปริมาวัตตวงกันเองนะจ๊ะตามชอบ
สูตรน้ำจิ้มปลาหมึกรสเด็ด
สวนผสม
พริกแดง/พริกขี้หนู
กระเทียมไทย
น้ำเชื่อมน้ำตาล
ผงชูรส (ไม่ใส่ก็ได้)
รากผักชี
ผักชีหั่น
น้ำมะนาว 1 ถ้วย (ใช้แบบขวดก็ได้)
น้ำกระเทียมดอง
น้ำปลา
น้ำมะขามเปียก
วิธีทำ
1.น้ำเชื่อม น้ำกระเทียมดอง น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก น้ำปลา ผงชูรสในภาชนะ คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
2.ใส่รากผักชี กระเทียม พริกแดง ลงในโถปั่น จากนั้นปั่นให้ละเอียดมากๆ หรือจะโขลกก็ได้
3.ที่ผสมแล้วในข้อ 1 ลงในโถปั่น ปั่นต่อให้เข้ากัน
4.จากนั้นค่อยใส่ผักชีซอย รสชาดเปรี้ยวหวานยังงัยก็ชิมตามชอบ
การเก็บรักษาน้ำจิ้มปลาหมึก
1. เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา จะอยู่ได้นาน 1 เดือน
2. เก็บในถังน้ำแข็งอยู่ได้นาน 10 วัน
ควรปิดภาชนะที่ใส่น้ำจิ้มให้มิดชิด
เครดิตภาพน้ำจิ้มร้านหมึกสดย่างหน้าตะวันนา
ขอบคุณภาพประกอบจากน้ำจิ้ม อัลบั้มรูป - อร่อยเหาะ!! ปลาหมึกย่างรถเข็น หน้าพันธุ์ทิพย์งามวงค์วาน(ก็อปเค้ามาให้อ่านคริคริ)

กินเค็มเกิดโรคอะไร

 เมื่อพูดถึง “ความเค็ม” คนส่วนใหญ่จะนึกถึง “เกลือ” ที่ใช้ในการปรุงแต่งรสอาหารให้มีความเค็มหรืออาจใช้ในการถนอมอาหาร ดังนั้นเกลือจึงสื่อถึงรสชาติเค็มของอาหาร “เกลือ” คือสารประกอบทางเคมีที่เรียกว่า “โซเดียมคลอไรด์” และคนทั่วไปมักจะเรียก “เกลือแกง” ที่ใช้ประกอบอาหารว่าโซเดียมคลอไรด์ โซเดียมเป็นแร่ธาตุธรรมชาติที่ร่างกายต้องการ และร่างกายไม่สามารถผลิตโซเดียมได้เอง จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารในปริมาณที่เหมาะสม

ทั้งนี้เราควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (หรือ 1 ช้อนชา) ส่วนคนที่เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงไม่ควรเกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ปัจจุบันคนไทยบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงกว่าที่ร่างกายต้องการถึง 2 เท่า หรือวันละ 4,000 มิลลิกรัม จากพฤติกรรมต่างๆ เช่น เติมน้ำปลาทุกครั้งที่กินอาหารตามร้านและที่บ้าน ใช้ผงปรุงรสสารพัดชนิดทุกครั้งที่ปรุงอาหารบริโภคอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป สัปดาห์ละหลายครั้ง

กินเค็ม เกิดโรคอะไร
ถึงแม้ “โซเดียม” จะมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่การบริโภคโซเดียมมากเกินไปกลับมีผลเสียต่อสุขภาพ และส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ หลายโรค เช่น
- ความดันโลหิตสูง คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่า 11 ล้านคน
- หัวใจวาย คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดปีละ 4 หมื่นคน หรือวันละ 108 คน
- อัมพฤกษ์ อัมพาต คนไทยเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มากกว่า 5 แสนคน
การกินเค็มจัดทุกวัน มีโอกาสสูงที่หลอดเลือดสมองจะตีบตันหรือแตก ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
- ไตวาย คนไทยเป็นโรคไต มากกว่า 7.6 ล้านคน มีการประเมินค่าใช้จ่าย “ฟอกเลือดล้างไต” คนละประมาณ 2 แสนบาทต่อปี ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเดินทางไปสถานพยาบาลและค่าเสียเวลาอื่นๆ (ลูกหลานต้องหยุดงานเพื่อพาผู้ป่วยไปฟอกเลือดล้างไต)

จะเห็นได้ว่าการบริโภคโซเดียมสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่ปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร “โซเดียม” จึงกลายเป็นตัวอันตรายในอาหาร หากบริโภคอย่างไม่ระมัดระวัง

ขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน

น้ำเกลือเข้มข้นใช้ทำอะไรบ้าง?

 เท่าที่รู้มาน้ำเกลือเข้มข้นระดับความเค็มที่ 21-22 ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำปลา ตีเต้าหู้ ฆ่าหญ้า แล้วยังทำอะไรได้อีกบ้างครับ ใครรู้บ้างช่วยตอบผมที ที่ผมรู้คือ เกลือทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ทำปลาร้า หมัก ดอง ถนอมอาหาร ปรุงรสอาหาร ปรับสภาพน้ำ ปรับสภาพดิน เรียกได้ว่าขาดเกลือในชีวิตประจำวันไม่ได้เลยทีเดียว ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ฟอกย้อม กลั่นน้ำมัน เกลือก็มีหลายแบบ เกลือบริโภค เกลือบริสุทธ์ เกลือเม็ด เกลือรีไฟน์ ใช้ประโยชน์แตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดของเกลือ แต่ในส่วนที่เป็นน้ำเกลือเข้มข้นยังทำประโยชน์อะไรได้อีก?



น้ำเกลือเข้มข้น
เกลือทำปลาร้า หมัก ดอง
                                                             

เรื่องเกลือ

เรื่องของเกลือ


                    ในปัจจุบัน เกลือเป็นของหาง่ายและราคาถูกจนทำให้เราไม่ค่อยได้นึกถึงความสำคัญของมันเท่าใดนัก ความจริงแล้ว เกลือมีความจำเป็นต่อชีวิตและความเจริญของมนุษย์มาโดยตลอด  เรื่องราวของเกลือทั้งในอดีตและปัจจุบันจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเกลือเป็นสารชนิดหนึ่ง  ซึ่งร่างกายจะขาดเสียมิได้  เกลือทำหน้าที่ควบคุมปริมาณของน้ำในร่างกาย  ซึ่งรวมทั้งน้ำในเซลล์ต่าง ๆ และโลหิต  ความดันของโลหิต และความเป็นกรดหรือด่างของร่างกายก็ควบคุมโดยเกลือเช่นเดียวกัน ร่างกายมีวิธีควบคุมปริมาณของเกลือในสิ่งต่าง ๆ ให้เหมาะอยู่เสมอ  เกลือที่เรารับประทานเข้าไปเมื่อไปถึงลำไส้เล็กจะซึมเข้าโลหิต แล้วกระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  ในที่สุดร่างกายจะถ่ายเกลือออกมากับเหงื่อและปัสสาวะ  ถ้าเรารับประทานเกลือมากกว่าที่ร่างกายต้องการ  ร่างกายก็จะขับเกลือออกมามากกว่าปกติ  จนกระทั่งเกลืออยู่ในร่างกายพอเหมาะ  ฉะนั้นในเหงื่อและปัสสาวะของคนที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัด  ซึ่งมีเกลืออยู่มากกว่าคนอื่น ในโอกาสใดก็ตาม ถ้าเรารับประทานเกลือไม่พอกับความต้องการของร่างกาย  การขับถ่ายเกลือออกก็ลดลง  ด้วยเหตุนี้คนที่อดอาหารเป็นเวลาหลายวัน  จึงแทบไม่มีเกลืออยู่ในปัสสาวะเลย

                    วันหนึ่ง ๆ เรารับประทานเกลือไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรสอาหารที่เราชอบและปริมาณของน้ำที่ร่างกายเสียไป  น้ำที่ออกมาจากร่างกาย  จะมีเกลือติดมาด้วยเสมอ  ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดร่างกายต้องเสียน้ำมาก  เช่น  เวลาออกกำลังกายหรืออยู่ในที่ร้อน  เมื่อนั้นปริมาณเกลือก็ลดลงมาก  ร่างกายจึงต้องการเกลือมากกว่าปกติ  หรือเมื่อถ่ายท้องมาก ๆ   เช่น  ขณะเป็นอหิวาตกโรค  ร่างกายจะเสียเกลือมากจนเป็นอันตรายได้  จึงจำเป็นต้องมีการฉีดน้ำเกลือเข้าไปในโลหิตเพื่อเป็นการทดแทนเกลือของร่างกายที่เสียไปตามปกติร่างกายได้เกลือจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป  เช่น  ปนอยู่ในกะปิ  น้ำปลา และอาหารเค็มต่าง ๆ  นอกจากนี้  เนื้อ  ปลา  น้ำนม  ผักและผลไม้ต่าง ๆ  ยังมีเกลืออยู่ตามธรรมชาติด้วย  อาหารจำพวกเนื้อและนมมีเกลืออยู่มากเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย  ฉะนั้นในสมัยก่อน  เมื่อคนรับประทานเนื้อและเลือดสัตว์เป็นอาหารส่วนใหญ่จึงไม่มีความต้องการเกลือเป็นพิเศษ  ต่อมาเมื่อมนุษย์ใช้พืชเป็นอาหารมากขึ้น  ความต้องการรับประทานเกลือจึงเพิ่มขึ้น  คนป่าในแอฟริกาบางจำพวกไม่มีเกลืออย่างของเรา  จึงต้องดื่มเลือดหรือปัสสาวะสัตว์แทนสัตว์อื่น ๆ  ก็ต้องการเกลือเช่นเดียวกับมนุษย์เหมือนกัน  สัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหารก็ได้เกลือมาพร้อมกับอาหารนั้น  แต่สัตว์กินหญ้าหรือพืชอื่นได้เกลือจากอาหารไม่พอ  จำเป็นต้องแสวงหาเกลือกินเป็นการเพิ่มเติม  บางครั้งสัตว์พวกนี้ต้องเดินทางไปไกล ๆ  เพื่อแสวงหาเกลือจากดินโป่ง ในทำนองเดียวกัน  สัตว์เลี้ยง เช่น  ม้า  วัว  และควาย ก็มีความต้องการเกลือเพิ่มเติม  เมื่อสัตว์เหล่านี้กระหายเกลือมาก ๆ จะเลียเกลือจากผิวหนังของตัวเอง  หรือจากเสื้อผ้าและมือของคนเลี้ยงปริมาณเกลือที่ใช้ในปีหนึ่ง ๆ เพิ่มขึ้นตามความเจริญของมนุษย์  ในตอนแรก ๆ มนุษย์ใช้เกลือปรุงแต่งรสอาหารเท่านั้น  ต่อมาเมื่อค้นพบว่าเกลือช่วยรักษาปลาและเนื้อสัตว์อื่นมิให้เน่าเปื่อยได้ด้วย  ปริมาณเกลือที่ใช้จึงเพิ่มเป็นเงาตามตัว  จนในปัจจุบันนี้  เราต้องใช้เกลือในปีหนึ่ง ๆ ไม่น้อยกว่า  ๘๐ ล้านตัน  ซึ่งเกลือจำนวนนี้ส่วนมากใช้สำหรับการอุตสาหกรรม  แทบจะไม่มีอุตสาหกรรมใดเลยที่ไม่ต้องใช้เกลือ  ไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อม

                   เกลือที่กล่าวมาข้างต้นนี้  ในทางวิชาเคมีถือว่าเป็นสารประกอบ  เพราะเกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างธาตุสองธาตุ  คือ  ธาตุโซเดียมซึ่งเป็นโลหะ  และธาตุคลอรีนซึ่งเป็นก๊าซสีตองอ่อน มีกลิ่นฉุน  เมื่อเราผ่านกระแสไฟฟ้าลงไปในเกลือทำให้ร้อนจัดจนกระทั่งหลอมตัว  ธาตุทั้งสองจะแยกตัวออกจากกันเป็นโลหะโซเดียม และก๊าซคลอรีนกลับออกมา  วิธีนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ผลิตโลหะโซเดียมและก๊าซคลอรีนจากเกลือ  นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถเปลี่ยนเกลือให้เป็นสารประกอบอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ได้อีกมากมายหลายชนิด  ด้วยเหตุนี้เกลือจึงเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ  ทั้งโดยตรงและทางอ้อม  เช่น  อุตสาหกรรมทำกระดาษ  แก้ว  พลาสติก  เสื้อผ้า  ยาฆ่าแมลง และยารักษาโรค  เป็นต้น  ประเทศใดที่มีความเจริญทางอุตสาหกรรมมากก็จำเป็นต้องใช้เกลือมาก  เช่น  บางประเทศ  ในปีหนึ่ง ๆ จะใช้เกลือถึง  ๒๔ ล้านตัน  บางประเทศใช้ปีละประมาณ  ๓ ล้านตัน  ส่วนประเทศเราใช้เพียงปีละประมาณ  ๑ แสนตันเท่านั้น

เกลือที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้  มีกำเนิดมาจากทะเลทั้งสิ้น  แม้กระทั่งเกลือสินเธาว์  หรือเกลือหิน  นักวิทยาศาสตร์มีหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าบริเวณซึ่งพบเกลือหินนั้น  ครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลมาก่อน  เมื่อน้ำทะเลแห้งลงด้วยการระเหย  เกลือก็จะแยกตัวออกมาทับถมอยู่ในทะเลนั้น   ต่อมาเมื่อน้ำทะเลแห้งหมด  และมีดินเกิดขึ้นปกคลุมเกลือเหล่านั้น  ก็กลายเป็นเกลือหินไป  เกลือซึ่งมีอยู่ในทะเลสาบ  ในน้ำบาดาล  หรือเกลือที่มีอยู่ในดินซึ่งเราละลายออกมาแล้วเคี่ยวให้แห้งเป็นเกลือสินเธาว์นั้น  ก็ล้วนแต่เป็นเกลือซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ในทะเลเช่นเดียวกัน

                   ในปัจจุบัน  เกลือหินซึ่งพบอยู่ใต้ดิน ได้มีผู้ขุดหรือละลายขึ้นมาใช้มากกว่าเกลืออื่น ๆ  เพราะเป็นเกลือที่มีความบริสุทธิ์สูงและราคาถูก  ส่วนประเทศที่ไม่มีเกลือหินแต่มีสภาพดินฟ้าอากาศเหมาะสมก็ผลิตเกลือจากน้ำทะเล  โดยการทำนาเกลือ  ส่วนประเทศเรานั้นถึงแม้จะมีเกลือหินอยู่มากก็ยังคงต้องผลิตเกลือจากน้ำทะเลต่อไปอีกนานหรือจนกว่าค่าใช้จ่ายในการขุดเกลือหินตลอดจนค่าขนส่งลดลงมากเพียงพอที่จะทำให้ราคาเกลือหินสู้ราคาเกลือสมุทรได้

ประเทศเราผลิตเกลือสมุทรได้ปีละประมาณ  ๓-๔ แสนตัน   ในจำนวนนี้เราใช้เองภายในประเทศราวหนึ่งแสนตัน  ที่เหลือเราส่งไปขายยังต่างประเทศ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นใช้เกลือที่ซื้อไปสำหรับการอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่  เกลือสำหรับใช้อุตสาหกรรมนี้  ถ้าเป็นเกลือที่มีคุณภาพสูง  กล่าวคือเป็นเกลือที่มีสิ่งอื่นซึ่งไม่ใช่เกลือปนอยู่น้อย  ก็จะไม่ทำให้เกิดความยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายในการทำให้เกลือนั้นบริสุทธิ์ก่อนใช้มากนัก  ตรงกันข้าม  ถ้าเกลือมีสิ่งอื่นเจือปนอยู่มาก ค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากในการทำให้เกลือบริสุทธิ์ก็จะเพิ่มขึ้นมาก  อีกประการหนึ่งผู้ซื้อยังต้องเสียค่าขนส่งสำหรับสิ่งอื่นซึ่งติดไปกับเกลือด้วย  โดยเหตุนี้โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงแสวงหาเกลือที่มีคุณภาพสูงเสมอ  เกลือที่เราผลิตขึ้นมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันมีความบริสุทธิ์ประมาณร้อยละ  ๘๖ เท่านั้น  ในสมัยก่อนเมื่อประเทศญี่ปุ่นหาซื้อเกลือที่มีคุณภาพสูงราคาต่ำจากที่อื่นไม่ได้มากพอ  ก็ซื้อเกลือซึ่งมีคุณภาพต่ำของเราไปใช้เป็นจำนวนมาก  ในปัจจุบัน  ประเทศญี่ปุ่นสามารถซื้อเกลือที่มีความบริสุทธิ์เกินร้อยละ  ๙๐ ขึ้นไป  จากประเทศอื่นได้เพียงพอ  จึงซื้อเกลือจากประเทศเราน้อยลง  ยังผลให้ราคาเกลือในประเทศของเราต่ำลงมาก  จนเป็นที่เดือดร้อนแก่ชาวนาเกลือดังที่ทราบกันอยู่แล้ว

เพื่อแก้ไขปัญหานี้  กรมวิทยาศาสตร์ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้ศึกษาและหาวิธีปรับปรุงคุณภาพของเกลือของเราให้ดีขึ้น   จากการศึกษาค้นคว้าโดยละเอียด  กรมวิทยาศาสตร์พบว่าการที่เราผลิตได้เกลือที่มีคุณภาพต่ำนั้น  เป็นเพราะธรรมชาติโดยแท้   มิใช่เป็นเพราะชาวนาเกลือของเราใช้วิธีไม่เหมาะสม   ดังที่คนส่วนมากเข้าใจแต่อย่างใดเลย    ผู้เขียนได้ไปศึกษาวิธีทำนาเกลือของประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ  รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากที่ว่า  วิธีที่ชาวนาเกลือใช้อยู่นี้ก็เป็นวิธีเดียวกับที่ใช้ในประเทศอื่น ๆ ที่ผลิตเกลือมีคุณภาพสูงได้ แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็มิได้ใช้วิธีดีไปกว่าชาวนาเกลือของเราเลย  บางประเทศเสียอีกยังใช้วิธีที่ล้าสมัยกว่าประเทศเราแต่กลับได้เกลือที่ดีกว่า  ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาที่น่าสนใจไม่น้อยความจริงแล้ว ยังมีอยู่หลายประเทศที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกับประเทศเรา และยังมิได้แก้ปัญหานั้นให้ลุล่วงไปได้  ส่วนมากก็โทษผู้ผลิตเช่นเดียวกันกับที่เราได้เคยโทษชาวนาเกลือมาแล้วนั้นเอง

การค้นพบเหตุที่ทำให้เกลือมีคุณภาพต่ำตลอดจนวิธีแก้ไขของกรมวิทยาศาสตร์นี้  นับว่าเป็นของใหม่ไม่มีใครทราบมาก่อนเลย  ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  การค้นพบครั้งนี้  จึงมิได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศเราเท่านั้น  แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศอื่น ๆ ทั้งในด้านวิชาการและในทางปฏิบัติด้วย   สิ่งที่กรมวิทยาศาสตร์ค้นพบนั้น  อาจจะสรุปกล่าวได้สั้น ๆ ดังนี้  คือ  ถ้าน้ำทะเลซึ่งปล่อยให้ระเหยไปโดยแดดและลมจนข้นพอที่จะเกิดเม็ดเกลือหรือที่เรียกว่า “น้ำเชื้อ”  มีสารชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่ามังกานีสปนอยู่ประมาณ  ๒-๔ ส่วนในน้ำเชื้อล้านส่วน  แล้วเกลือที่เกิดขึ้นจะมีคุณภาพต่ำ  ถ้าน้ำทะเลนั้นมีมังกานีสน้อยหรือมากกว่านี้  เกลือก็จะมีคุณภาพสูงขึ้นตามส่วน  จากการวิเคราะห์  ปริมาณมังกานีสในน้ำเชื้อจากนาเกลือต่าง ๆ  ทั้งในประเทศเรา หรือที่เก็บมาจากประเทศอื่นหลายประเทศก็ปรากฏว่าเป็นไปตามที่กล่าวแล้วนั้น  น้ำเชื้อจากนาเกลือของเราส่วนมากมีมังกานีสอยู่ในปริมาณที่จะทำให้เกลือซึ่งมีคุณภาพต่ำพอดี   ส่วนน้ำเชื้อในนาเกลือจากประเทศที่ผลิตเกลือได้ดี  มีมังกานีสอยู่น้อยกว่าน้ำเชื้อในนาเกลือของเรามากมังกานีสซึ่งพบอยู่ในน้ำเชื้อเข้มข้นนั้น  ส่วนมากละลายมาจากดินพื้นนานั้นเอง  ดินในบริเวณนาเกลือของเรามีมังกานีสอยู่มากกว่าดินในบริเวณนาเกลือของประเทศอื่นถึง  ๑๐ เท่า  จึงนับว่าเป็นโชคร้ายของเราโดยแท้

อย่างไรก็ตาม  ปัญหานี้พอมีทางจะแก้ไขได้ คือ เมื่อเราพบว่าน้ำเชื้อที่มีมังกานีสอยู่น้อยจริง ๆ หรือมีอยู่มากจริง ๆ ให้เกลือที่มีคุณภาพสูง  วิธีปรับปรุงคุณภาพเกลือจึงขึ้นอยู่กับการแยกมังกานีสออกมา  หรือเติมมังกานีสเข้าไป  กรมวิทยาศาสตร์ได้ทดลองแล้วปรากฏว่าได้ผลดีทั้งสองวิธี   แต่ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์กำลังแนะนำให้ชาวนาเกลือใช้วิธีแรก  คือ  แยกมังกานีสออกมา  วิธีนี้ทำได้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  กล่าวคือเพียงแต่เติมปูนขาวจำนวนหนึ่งลงไปในน้ำเชื้อ  มังกานีสก็จะแยกตัวออกมาและไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตกผลึกของเกลืออีกต่อไป  เกลือที่ได้มีคุณภาพสูงเกินร้อยละ  ๙๐ และถ้าทำได้ถูกต้องจริงแล้ว  คุณภาพของเกลือจะสูงขึ้นได้ถึงร้อยละ  ๙๗    สรุปได้ว่า  บัดนี้เราได้แก้ไขปัญหาเรื่องคุณภาพเกลือของเราได้แล้ว  ถ้าได้มีการแก้ปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายและผลิตเกลือให้ลุล่วงไปได้อีกด้วย  อุตสาหกรรมทำนาเกลือของเราก็จะเจริญขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งได้  แต่ถ้าไม่มีใครเหลียวแล  เพราะความเบื่อหน่ายก็ดี  หรือมองไม่เห็นประโยชน์และความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ก็ดี  สิ่งที่กรมวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบด้วยความยากลำบากนี้ก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศของเราเลย  แต่กลับเป็นประโยชน์แก่ประเทศอื่น ๆ ซึ่งกำลังปรับปรุงอุตสาหกรรมการทำนาเกลือของเขาอย่างจริงจัง  จึงขอฝากข้อคิดนี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย


ขอขอบคุณบทความดีดีจาก สถาบันปรีดี พนมยงค์

สารพัดประโยชน์เกลือ

 
       เกลือ ที่เราใช้ปรุงรสอาหารในครัวเรือนนั้น มีประโยชน์มากมายนอกจากจะปรุงรสในอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารไอโอดีน ช่วยไม่ให้เป็นโรคคอหอยพอกได้อีกด้วย และที่ไม่น่าทึ่งเกี่ยวกับประโยชน์ของเกลือ ก็คือ สามารถรักษาโรคต่างๆได้มากมาย  เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราไปดูกันซิว่า "เกลือ" (salt)  รักษาโรคอะไรได้บ้าง
   
          ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเกลือ กันก่อนว่า คือ อะไร :
ทางวิทยาศาสตร์การอาหาร เกลือนั้นหมายถึง เกลือที่ใช้ในการปรุงอาหาร (cooking salt หรือ table salt) ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า Sodium Chloride (NaCl) เกลือบริสุทธิ์นั้นมีลักษณะสีขาว  ผลึกรูปร่างไม่คงที่  แต่จัดว่าเป็นแบบ ลูกบาศก์ (Cubic system) เกลือมีคุณสมบัติในการดูดความชื้น (hygroscopic) และจะมีคุณสมบัตินี้มากขึ้น ถ้าเกลือนั้นไม่บริสุทธิ์
ทางเคมี เกลือ เป็นสารประกอบ ไอออนิก (ionic compound) ประกอบด้วยแคตไอออน (cation : ไอออนที่มีประจุบวก) และแอนไอออน (anion : ไอออนที่มีประจุลบ) ทำให้ผลผลิตที่ได้เป็นกลาง (ประจุสิทธิเป็นศูนย์) ไอออนเหล่านี้อาจเป็นอนินทรีย์ (Cl-) กับอินทรีย์ (CH3COO-) และไอออนอะตอมเดี่ยว (F-) กับไอออนหลายอะตอม (SO42-) เกลือจะเกิดขึ้นได้เมื่อกรดและเบสทำปฏิกิริยาด้วยกัน โดยมีคุณสมบัติดังนี้

    เกลือ เป็นสารประกอบ สถานะปกติเป็นของแข็ง ไม่นำไฟฟ้า
    เกลืออาจจะละลายน้ำหรือไม่ละลายน้ำก็ได้  หากละลายน้ำจะทำให้น้ำเป็นสารละลาย (อิเล็กโทรไลต์) เพราะเกลือแตกตัวเป็นไอออนทำให้น้ำนั้นนำไฟฟ้าได้
    สารละลายเกลืออาจเป็นกรด กลาง หรือเบสก็ได้

- เกลือที่มีคุณสมบัติเป็นกรด เกิดจาก กรดแก่ + เบสอ่อน
-เกลือที่มีคุณสมบัติเป็นกลาง เกิดจาก กรดแก่ + เบสแก่
-เกลือที่มีคุณสมบัติเป็นเบส เกิดจาก กรดอ่อน + เบสแก่
เกลือที่เรารู้จักโดยทั่วไปคือ เกลือแกง มีสภาพเป็นกลาง เกลือแกง มีรสเค็ม ใช้ในการปรุงรส เกลือแกงมีคุณสมบัติในการดูดน้ำออกจากเนื้อสัตว์  ผัก ทำให้สามารถช่วยชะลอระยะเวลาอาหารเสียช้าลง
เกลือเรียกตามแหล่งที่มา มี 2 ประเภทได้แก่

    เกลือสมุทร (Sea salt) คือ เกลือที่ได้จากสูบน้ำทะเลเข้ามาขังไว้ในที่นา ผึ่งแดดและลมจนน้ำระเหยเหลือแต่ผลึกเกลือสีขาว
    เกลือสินเธาว์ หรือ เกลือหิน คือ เกลือที่ได้จากดินเค็ม โดยการปล่อยน้ำลงไปละลายหินเกลือที่อยู่ใต้ดินแล้วจึงสูบน้ำกลับขึ้นมาตากหรือต้มให้น้ำระเหยไป

 ลักษณะของเกลือแบ่งเป็น 2 ชนิด

    เกลือเม็ด ผลิตโดยชาวนาเกลือทะเลและผู้ผลิตเกลือสินเธาว์ด้วยวิธีตาก นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การดองผักผลไม้ และไอศกรีม
    เกลือป่น ผลิตโดยโรงงานเกลือป่นที่ซื้อเกลือเม็ดจากชาวนาเกลือมาแปรรูปเป็นเกลือป่น และผู้ผลิตเกลือสินเธาว์ด้วยวิธีการต้ม เกลือป่นที่ไม่ต้องผ่านการแปรรูปนิยมทำเป็นเกลือบริโภคตามบ้านเรือน

คุณสมบัติในการรักษาโรคของเกลือ

    ไอเพราะเป็นหวัด แค่เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ ทีนี้ก็ไม่ต้องไอให้คนข้างๆ รำคาญแล้ว
    มึนหัว สมองไม่แล่น สาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้รวดเร็ว  เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง
    เร่งให้อาเจียน ถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ
    คัดจมูก จะแค่คัดจมูกน้ำมูกไหล หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก็ตาม ให้ใช้น้ำเกลือเจือจางหยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก จะได้หยุดซี้ดซ้าดปาดน้ำมูกได้เสียที
    คันตามผิวหนัง ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์
    โรคตาแดง โรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเองก่อนถึงมือหมอได้ง่ายๆ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี) จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว ก็ล้างตาหลายๆ ครั้งด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาของคุณจะทุเลาลง
    แผลยุงกัด ถ้าใครถูกเจ้ายุงตัวร้ายมาขอบริจาคเลือดไป แถมยังทิ้งรอยแผลไว้เป็นที่ระลึก อย่ามัวแต่เกาให้เสียลุคส์สาวงาม รีบๆ ใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไป และรอยบวมก็จะยุบเร็ว

          ทีนี้เพื่อนๆ เชื่อหรือยังคะว่า  เกลือมีประโยชน์สารพัดจริงๆ รู้อย่างนี้แล้วเราก็ควรหันมาให้ความสนใจกับเลือมากกว่าที่จะรู้จักเกลือในฐานะเครื่องปรุงรสอาหารเท่านั้น


บทความดีดีจากเว็บเพื่อนบ้านครับ..

ปัญหาป่วยโรคเอ๋อคนไทยลดลง

      
         กระทรวงสาธารณสุข เปิดงานรณรงค์เนื่องในวันไอโอดีนแห่งชาติ วันที่ 25 มิถุนายนของทุกปี เผยเพราะพระบารมีในหลวง ทำให้โรคเอ๋อลดลง ประชาชนใช้เกลือและผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนเพิ่มมากขึ้นครอบคลุมครัวเรือนร้อยละ 90-99 ไอคิวเด็กไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 98 จุดเท่ามาตรฐานสากล ตั้งอสม. 1 ล้านคนเป็นทูตไอโอดีน เพื่อควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มวัยทุกหมู่บ้าน และให้ไอคิวเด็กไทยเท่าสากล

วันนี้ (25 มิถุนายน 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานรณรงค์เนื่องในวันไอโอดีนแห่งชาติ ที่สถานีรถไฟ (หัวลำโพง) กรุงเทพมหานคร ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ 25 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันไอโอดีนแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2545 เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่สภานานาชาติเพื่อการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีน หรือไอซีซีไอดีดี (International Council for Control of Iodine Deficiency Disorders, ICCIDD) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทอง ICCIDD ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณในการวินิจฉัยปัญหา และพระราชทานแนวทางการแก้ไขโรคขาดสารไอโอดีนหรือโรคเอ๋อในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขจึงดำเนินงานเพื่อควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนมาอย่างต่อเนื่อง และจัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันไอโอดีนแห่งชาติเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2546 เพื่อสร้างกระแสและรณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงภัยร้ายของการขาดสารไอโอดีน

นายวิทยากล่าวว่า การขาดสารไอโอดีนจะพบได้ในทุกกลุ่มอายุและจะแสดงผลชัดเจนในกลุ่มเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา หากหญิงตั้งครรภ์ขาดสารไอโอดีนจะส่งผลให้ทารกมีพัฒนาการทางสมองไม่เต็มที่ และหากขาดสารไอโอดีนมาก อาจทำให้เด็กทารกในครรภ์เสียชีวิต แท้งหรือพิการได้ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้พื้นที่ที่มีหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับไอโอดีนในปัสสาวะน้อยกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลิตร เกินร้อยละ 50 เป็นพื้นที่ขาดสารไอโอดีน ซึ่งจากการสำรวจไอโอดีนในปัสสาวะหญิงตั้งครรภ์ 75 จังหวัดในประเทศไทย พบหญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับไอโอดีนในปัสสาวะต่ำกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลิตร มีแนวโน้มลดลง จากร้อยละ 71.8 ในปี 2549 เหลือร้อยละ 52.5 ในปี 2553 และจากการประเมินล่าสุดในปี 2555 พบว่าลดลงเหลือร้อยละ 39.7 ขณะเดียวกันพบว่าสถานการณ์ไอคิวเด็กไทยดีขึ้น ปัจจุบันค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 98 จุด จากเดิมในปี 2552 เฉลี่ย 91 จุด แม้จะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสากล แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ที่มีไอคิวเฉลี่ย 104 จุด จะต้องเฝ้าระวังและป้องกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาสติปัญญาของเด็กไทยสูงขึ้น

 “มาตรการหลักในการให้คนไทยทุกคนได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอ ไม่อยู่ในภาวะเสี่ยงและขจัดปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนให้หมดไปจากประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นการส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนใช้เกลือเสริมไอโอดีนและผลิตภัณฑ์ปรุงรสเสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพ เช่นน้ำปลา ซีอิ๊ว และซอสปรุงรสในการปรุงอาหารทุกครั้ง โดยแต่งตั้งอสม.จำนวน 1 ล้านคนเป็นทูตไอโอดีน สร้างความเข้มแข็งและให้ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ ส่งผลให้ขณะนี้ครัวเรือนใช้เกลือเสริมไอโอดีนทั่วประเทศครอบคลุมถึงร้อยละ 90 บางจังหวัดสูงถึงร้อยละ 99 ซึ่งสูงกว่าปี 2552 ที่มีเพียงร้อยละ 77เท่านั้น และได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายแก้ปัญหาขาดสารไอโอดีนขับเคลื่อนให้เกิดชุมชน/หมู่บ้านไอโอดีนทั่วประเทศแล้ว 72,766 แห่งจากทั้งหมด 77,373 แห่ง และผ่านการรับรองเป็นชุมชน/หมู่บ้านไอโอดีนอย่างเป็นทางการแล้ว 38,663 แห่ง ใน 71 จังหวัด” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ด้านนายแพทย์สุรวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้กรมอนามัยสำรวจการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนใน ในประชากรวัยทำงานที่มีอายุ 20 – 59 ปี ในพื้นที่ศูนย์อนามัยเขตของกรมอนามัย 12 จังหวัด จำนวน 1,703 คน ในปี 2555 พบว่า ร้อยละ 94.5 มีการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนในครอบครัว ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนที่ใช้มากที่สุด คือ เกลือเสริมไอโอดีนร้อยละ 87.8 รองลงมาคือ น้ำปลาร้อยละ 75.1 ซ๊อสร้อยละ 55 และซีอิ๊วร้อยละ 53.1 นอกจากนี้ ร้อยละ 84.1 ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนมากกว่า 1 ชนิด ส่วนใหญ่ใช้ 4 ชนิด คือ เกลือ น้ำปลา ซ๊อส และซีอิ๊ว รองลงมาคือ 2 ชนิด คือ เกลือและน้ำปลา คิดเป็นร้อยละ 31.1 และ 19.6 ตามลำดับ

ทางด้านนพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เมื่อสำรวจการรับรู้ของประชาชนด้านการควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนพบว่า ประชาชนร้อยละ 92.1 รู้ว่าสารไอโอดีนมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านการเสริมสร้างพัฒนาการสติปัญญาในเด็กเล็ก ร้อยละ 82.7 รู้วิธีป้องกันการขาดสารไอโอดีน โดยการรับประทานอาหารทะเล และผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีน ร้อยละ 79.2 รู้ว่ามีกฎหมายบังคับให้เกลือและผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส 4 ชนิด ได้แก่ น้ำปลา น้ำเกลือปรุงรส ซ๊อส ซีอิ๊ว ต้องเติมสารไอโอดีน

 “ทั้งนี้ แนวทางการขับเคลื่อนงานในอนาคตกรมอนามัย จะขับเคลื่อนให้เกิดจังหวัดไอโอดีน ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพต่อไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

- See more at: http://www.hfocus.org/content/2012/06/772#sthash.LFCBd5Hk.dpuf

กินเกลือมากไปก็ไม่ดี

    คนไทยกินเกลือเกินจำเป็นเสี่ยงอัมพฤกษ์


       เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ซอยศูนย์วิจัย ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย แถลงข่าว "การจัดงานสัปดาห์วันไตโลก ลดเค็มครึ่งหนึ่ง" ว่า จากการสำรวจการบริโภคเกลือของคนไทยโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่า คนไทย บริโภคเกลือและโซเดียมสูงเกินกว่าที่แนะนำ 2 เท่า หรือ 10.8 กรัม (โซเดียม 5,000 มิลลิกรัม) สูงเป็น 2 เท่าของที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ที่ควรบริโภคไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน (โซเดียม 2,400 มิลลิกรัม) โดยร้อยละ 71 มาจากการเติมเครื่องปรุงรสระหว่างการประกอบอาหาร ที่นิยมใช้มาก 5 ลำดับแรก คือ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว เกลือ กะปิ และซอสหอยนางรม

ผศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบจะพบว่าเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 6,000 มิลลิกรัม น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,160-1,420 มิลลิกรัม ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 960-1420 มิลลิกรัม ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะมีปริมาณโซเดียม 1,150 มิลลิกรัม กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,430-1,490 มิลลิกรัม ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 420-490 มิลลิกรัม นอกจากนี้ ยังพบว่าอาหารถุงปรุงสำเร็จ มีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยต่อถุง 815 -3,527 มิลลิกรัม เช่น ไข่พะโล้ แกงไตปลา คั่วกลิ้ง เป็นต้น ส่วนอาหารจานเดียว มีปริมาณโซเดียม 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อ 1 จาน อาทิ ข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู และข้าวคลุกกะปิ เป็นต้น

"การรับประทานอาหารรสเค็มจัด จะส่งผลให้ความดันโลหิตสูง เพิ่มการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และยังมีผลเสียต่อไตโดยตรง ทำให้หัวใจทำงานหนักก่อให้เกิดภาวะหัวใจวาย และความดันโลหิตสูง ความดันในสมองเพิ่มขึ้น มีโอกาสเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ จึงควรสร้างนิสัยการรับประทานอาหารอ่อนเค็ม เพื่อสุขภาพที่ดี เริ่มจากการการลดเค็มลงครึ่งหนึ่ง จะช่วยคนไทยห่างไกลโรค" ผศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าว และว่า การลดปริมาณโซเดียมที่รับประทานทำได้โดย หลีกเลี่ยงการใช้เกลือ น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ และผงชูรส ในการปรุงอาหาร, หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุง เช่น ปรุงรสเพิ่มในก๋วยเตี๋ยว เติมพริกน้ำปลาในข้าวแกง เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556

เส้นทางเกลือ

แนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน "เส้นทางเกลือ"



ใน การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงพบว่าปัญหาการขาดสารไอโอดีนจนเกิดเป็นโรคคอพอกนั้นยังมีอยู่มากมายหลาย พื้นที่ และยามที่เสด็จพระราชดำเนินไปในท้องที่ทุรดันดารนั้นมีผู้คนที่เข้าเฝ้าทูล ละอองธุลีพระบาทจำนวนมากที่เป็นโรคนี้ และขอรับการรักษาจากคณะแพทย์หลวงที่ตามเสด็จฯ พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระเมตตาและสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนเป็น อย่างมาก ถึงกับเคยทรงนำเกลือผสมไอโอดีนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปทรงแจกประชาชนในถิ่น ทุรกันดารมาแล้วหลายครั้ง เมื่อ วันที่ 9 มีนาคม 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวพระราชดำเนินไปเยี่ยมชมกิจกรรมของวิทยาลัยเทคนิค เชียงใหม่ ซึ่งในการนี้ได้ทอดพระเนตรการสาธิตการทำงานของเครื่องผสมเกลือไอโอดีน ซึ่งทางวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ได้ผลิตขึ้นและน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานให้แก่จังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือที่ราษฎรประสบปัญหาของการขาดสารไอโอดีน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริว่า
...ให้ พิจารณาแก้ไขปัญหาของการขาดสารไอโอดีนของราษฎรโดยการสำรวจพื้นที่ในแต่ละ พื้นที่ถึงปัญหา และความต้องการเกลือ ซึ่งแต่ละท้องถิ่นที่จะมีปัญหาและความต้องการไม่เหมือนกันโดยเฉพาะต้องสำรวจ เส้นทางเกลือ ว่าผลิตจากแหล่งใด ก็น่าที่จะนำเอาไอโอดีนไปผสมกับแหล่งผลิตต้นทางเกลือเสียเลยทีเดียว...

1. ศึกษาและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนสารไอโอดีน โดยการค้นหา เส้นทางเกลือ ตั้งแต่แหล่งผลิตจนถึงผู้บริโภค
2. นำไอโอดีนไปผสมที่แหล่งผลิตหรือแหล่งจัดจำหน่ายโดยเติมให้ฟรีก่อน หากภายหลังพ่อค้าและภาคเอกชนเกิดศรัทธาสมทบก็สามารถทำได้
3. หาก บางท้องที่ไม่อาจเติมไอโอดีนที่แหล่งต้นทางได้ ทรงแนะนำว่าควรนำเครื่องเกลือผสมไอโอดีนไปบริการในลักษณะหน่วยบริการเคลื่อน ที่เข้าไปในหมู่บ้านต่างๆ กล่าวคือ ใครมีเกลืออยู่แล้วก็ผสมให้ฟรี หรืออาจเอาเกลือธรรมดามาแลกกับเกลือผสมไอโอดีนก็ได้
4. พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดให้ใช้อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอำเภอต้นแบบในการศึกษาแก้ไขปัญหาการขาดแคลนสารไอโอดีนว่ามี เส้นทางเกลือ มาจากแหล่งใด



ผลการสำรวจ เส้นทางเกลือ
จาการค้นคว้า เส้นทางเกลือ ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2536 เป็นต้นมาสรุปได้ว่า
เกลือผสมไอโอดีนส่วนใหญ่เป็นเกลือป่น
เกลือที่ไม่ได้ผสมสารไอโอดีนเพิ่มเข้าไปจะมีทั้งเกลือป่นและเกลือเม็ด
เกลือป่นส่วนใหญ่เป็นเกลือสินเธาว์จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเกลือเม็ด
ส่วนใหญ่เป็นเกลือสมุทรจากสมุทรสงคราม สมุทรสาคร และเพชรบุรี
เส้นทางเกลือที่ไม่ผสมไอโอดีน มีแหล่งผลิตและจำหน่ายที่สำคัญ รวม 4 เส้นทาง คือ
1. ส่วนที่ 1 จากจังหวัดสมุทรสาคร เป็นแหล่งรวมเกลือสมุทรจากเพชรบุรีและสมุทรสงครามส่งไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ และส่งขายต่อร้านค้าย่อยในอำเภอสะเมิง
2. ส่วนที่ 2 พ่อค้าเชียงใหม่ซื้อตรงจากสมุทรสาคร โดยรถสิบล้อบรรทุกขึ้นมาแล้วมาบรรจุใส่ซองพลาสติดใส นำขึ้นรถปิดอัพเร่ขายในอำเภอสะเมิงและพื้นที่ใกล้เคียง
3. ส่วนที่ 3 พ่อค้าจากมหาสารคาม มีการซื้อเกลือสินเธาว์ป่นแถบอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี และย่านหนองกวั่ง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร มาบรรจุซองที่จังหวัดมหาสารคาม แล้วนำเกลือไปเร่ขายทั่วประเทศโดยใช้รถหกล้อ ซึ่งมีการส่งขายถึงเชียงใหม่ และเข้าสู่อำเภอสะเมิงในที่สุด
4. ส่วนที่ 4 จากกรุงเทพมหานคร โดยพ่อค้ารายใหญ่จัดส่งไปขายที่เชียงใหม่และแถบใกล้เคียงโดยใช้เกลือสมุทรธรรมดา


วิธีการผลิตเกลือเสริมไอโอดีนหรือเกลืออนามัย
โดยปกติแล้วคนเราต้องการธาตุไอโอดีนวันลประมาณ 100-150 ไมโครกรัมในปริมาณเกลือที่บริโภคต่อวัน เฉลี่ย 5.4 กรัม

อัตราส่วนเกลือไอโอดีน ต้องใช้ปริมาณไอโอเดทที่เสริมในเกลืออัตราส่วน 1:20,000 โดยน้ำหนัก เกลือ 1 กิโลกรัม ต้องเสริมโปแตสเซียมไอโอเดท 50 มิลลิกรัม เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับไอโอดีนวันละ 150 ไมโครกรัมต่อคนต่อวัน

โปแตสเซียมไอโอเดท 1 กิโลกรัม ผสมเกลือได้ 18 ตัน ซึ่งมีหลายวิธีการ ดังนี้

การเสริมไอโอดีนในเกลือโดยใช้วิธีผสมเปียก โดยการใช้ผงไอโอเดทปริมาณ 25 กรัม ผสมกับน้ำจำนวน 1 ลิตร ซึ่งผลการทดลอง ของวิทยาลัยเทคนิคสกลนครสามารถผลิตเกลือผสมไอโอดีนได้ครั้งละ 60 กิโลกรัม โดยการพ่นฉีดแต่ละครั้ง 60 กิโลกรัม โดยการพ่นฉีดแต่ละครั้ง จะใช้ไอโอดีนน้ำผสมประมาณครั้งละ 200 ซีซี. ต่อเกลือจำนวน 60 กิโลกรัม ซึ่งพบว่าได้ความเข้มข้นของไอโอดีนสม่ำเสมอดี


การเสริมเกลือไอโอดีนแบบผสมแห้ง
เป็นเครื่องผสมเกลือไอโอดีนที่ดำเนินการได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงโดยใช้วิธีผสม แห้งและใช้หลักการทำงานของเครื่องผสมทรายหล่อ และหลักการทำงานของเครื่องไซโลผสมอาหารสัตว์มาเป็นการทำงานของเครื่องผสม เกลือไอโอดีน ซึ่งใช้สะดวก กระทัดรัด ประหยัด ผสมได้ครั้งละ 60 กิโลกรัม โดยใช้ใบกวนหมุนภายในถังที่ตรึงอยู่กับที่ โดย ให้ความเร็วของการหมุนใบกวนสัมพันธ์กับลักษณะของใบกวนที่วางใบให้เป็นมุม เอียง เพื่อให้เกลือไหลและเกิดการพลิกตลอดเวลา ใช้เวลาในการคลุก 2 นาที โดยการหมุนทวนเข็มนาฬิกา ในกรณีที่มีความประสงค์จะผสมเกลือไอโอดีนด้วยตนเอง ก็สามรถทำได้ในอัตราส่วนดังกล่าว โดยใช้กะบะและไม้พายผสมโดยใช้แรงคนใช้เวลาผสมประมาณ 20-30 นาที หรือนานกว่าจึงจะได้ส่วนผสมที่ใช้การได้


เส้นทางเกลือจึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงห่วงใยในทุกวิถีแห่งการดำรงชีพของมวลพสกนิกรทั้งหลายโดยแท้


ที่มา : มูลนิธิชัยพัฒนา

ปลาร้า


ปลาร้า เป็นผลิตภัณฑ์หมัก (Fermented Food) พื้นบ้านของคนไทยที่ได้จากการหมักปลากับเกลือแล้วเติมข้าวคั่วหรือข้าวเปลือกเจ้าคั่วที่บดละเอียดหรือเติมรำข้าวหรือรำข้าวคั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสมลงไปพร้อมกันในการหมักหรืออาจเติมภายหลังการหมักปลากับเกลือก็ได้ เพื่อให้ได้กลิ่นรสตามธรรมชาติของปลาร้ามีลักษณะที่เป็นปลาร้าทั้งตัว ปลาร้าชิ้น และปลาร้าบด โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ในปัจจุบันความนิยมในการบริโภคปลาร้าได้กระจายไปภาคอื่นๆของประเทศไทยด้วย อีกทั้งยังขยายไปในต่างประเทศตามพื้นที่ที่มีคนไทยอยู่อาศัย การเรียกชื่อปลาร้าแตกต่างกันออกไป เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า ปลาแดกหรือปลาฮะ ภาคกลางและทั่วๆไปเรียกว่า ปลาร้า ปลาร้าส่วนใหญ่ทำมาจากปลาน้ำจืดซึ่งได้แก่ ปลาช่อน ปลากระดี่ ปลาสร้อย ปลาตะเพียน ปลาชะโดและปลานิล ส่วนปลาทะเลที่นิยมนำมาผลิตปลาร้าได้แก่ ปลาจวด ปลาช่อนทะเล ปลากระบอก ปลาแป้นและปลาทรายแดง เป็นต้น ส่วนผสมที่สำคัญคือเกลือและข้าวคั่วหรือรำข้าวอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นอยู่กับความนิยมของผู้บริโภค ปลาร้าที่ผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมใช้รำข้าว สีของผลิตภัณฑ์ออกสีน้ำตาลปนดำ นิยมเรียกว่าปลาร้ารำ ส่วนปลาร้าที่ผลิตในภาคกลางนิยมใช้ข้าวคั่วจึงมีสีเหลืองนวลและนิยมเรียกว่า ปลาร้าข้าวคั่ว


ปลาร้า (Fermented Fish , Pickled Fish ; Plara) หรือภาษาอีสานเรียกว่า ปลาแดก ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากในหมู่ของคนไทย, ลาว, เวียดนาม จึงมีผู้ทำการผลิตและจำหน่ายปลาร้ากันอย่างแพร่หลายถึงขั้นเป็นอาชีพที่ สร้างรายได้ดีให้แก่ผู้ผลิต การผลิตหรือการทำปลาร้าทั่วไปมักทำจากปลาน้ำจืดขนาดเล็ก เช่น ปลากระดี่นาง ปลาช่อน ปลาสร้อย รวมไปถึงปลารวม ซึ่งจะนำมาหมักกับรำข้าวและเกลือ แล้วบรรจุใส่ไห หมักทิ้งไว้  8 เดือนถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่ว่าต้องการรสชาติเข้มข้นมากน้อย สำหรับการนำมารับประทานหรือ นำไปปรุงอาหารอย่างอื่น เช่น ส้มตำ หรือ ใช้เป็นเครื่องปรุงใส่พวกแกง แกงส้ม แกงอ่อม เป็นต้น สำหรับส้มตำที่ใส่ปลาร้านั้นจะเรียกว่า ส้มตำลาว หรือ ส้มตำปลาร้า สำหรับแหล่งผลิตปลาร้าที่สำคัญอยู่ในเขตภาคกลางเป็นส่วนใหญ่ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา และสมุทรสาคร เป็นต้น สำหรับในเขตจังหวัดภาคเหนือ ที่นิยมทำการผลิตปลาร้าได้แก่จังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย เป็นต้น โดยการผลิตปลาร้าจะเป็นการผลิตแบบดั้งเดิม ส่วนผสมมีหลายรูปแบบและไม่มีสูตรตายตัวสำหรับวิธีทำปลาร้า


ปลาร้าแบ่งตามวัตถุดิบที่ใช้ทำออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.ปลาร้าข้าวคั่ว เป็นปลาร้าที่ใช้ข้าวคั่วหรือข้าวเปลือกเจ้าคั่วบดละเอียดเป็นส่วนผสม
2.ปลาร้ารำข้าว เป็นปลาร้าที่ใช้รำข้าวหรือรำข้าวคั่วและอาจมีข้าวคั่วหรือธัญญชาติอื่นๆบดละเอียดเป็นส่วนผสม


มาตรฐานปลาร้าไทย

ลักษณะทั่วไป
- ปลาร้าตัวเนื้อปลาต้องนุ่ม สภาพผิวคงรูป หนังปลาไม่ฉีกขาด เนื้อปลาและส่วนผสมอื่นๆต้องเคล้าเข้ากัน
- ปลาร้าชิ้นเนื้อปลาต้องนุ่ม คงสภาพเป็นชิ้นเนื้อปลาและส่วนผสมอื่นๆต้องเคล้าเข้ากัน
- ปลาร้าบดต้องละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันและไม่แห้งหรือเปียกเกินไป

สี
- มีสีน้ำตาล น้ำตาลอมเหลือง น้ำตาลเข้มและเนื้อปลาต้องมีสีตามธรรมชาติของชนิดปลาที่ผ่านการหมัก

กลิ่น
- มีกลิ่นหอมของปลาและข้าวคั่ว รำข้าว หรือรำข้าวคั่ว ไม่มีกลิ่นคาว กลิ่นหืน กลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือกลิ่นอื่นๆที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นอับ

รส
- มีรสเค็มกลมกล่อมตามธรรมชาติของปลาร้า

สิ่งแปลกปลอม
- ต้องไม่พบสิ่งแปลกปลอม เช่น เส้นผม ดิน ทราย กรวด และชิ้นส่วนหรือสิ่งปฏิกูลของแมลงหนอน หนู และนก

วัตถุเจือปนอาหาร
- ห้ามใช้สีทุกชนิดและวัตถุกันเสีย ได้แก่ ไนเตรต ไนไตรต์ เบนโซเอต และการใช้วัตถุกันเสียให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
- ความเป็นกรด-เบส ต้องมีค่าความเป็นกรด-เบส อยู่ระหว่าง 5.0 ถึง 6.0
- ปริมาณเกลือ(โซเดียมคลอไรด์)ต้องมีปริมาณเกลืออยู่ระหว่างร้อยละ 12 ถึงร้อยละ 20
- พยาธิต้องไม่พบ

ข้อมูล สำนักโภชนาการสาธารณสุข

รายชื่อจัดส่งสินค้า

รายชื่อจัดส่งเกลือสินเธาว์

  1.  คุณ ชลารวีท์ พิมนล์พันธุ์        หมายเลข EMS    EI039966718TH
  2.  คุณ วรวุฒิ  วีระชิงชัย               หมายเลข พัสดุ    PB229722376TH
  3.  คุณ เกษสุดา  มงคลทิพย์         หมายเลข EMS   EI039994360TH
  4.  คุณ ภรภัทร  รัตนประทีบพร      หมายเลข พสดุ   PB229746236TH
  5.  คุณ หทัยกาญ์                           หมายเลขพัสดุ    PB229750332TH
  6.  คุณ พรพรรณ อินทรานุสรณ์       หมายเลขพัสดุ   PB229548289TH

ส่งตัวอย่างเกลือ
  1. คุณ อนงนาฎ ยะหัวฝ่าย              หมายเลขพัสดุ   RF255288321TH

เกลือดีกว่ายาสีฟัน


ทำไมเกลือช่วยรักษาฟัน

    เกลือเค็มแต่ดีจริง ๆ ครับ  ผมเห็นคนแก่แถวชนบทในพื้นที่แถบอิสาน(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)ชอบใช้เกลือแปรงฟันจึงไปหาดูข้อมูลมาสรุปว่าเกลือช่วยรักษาฟันได้จริงครับ อยากรู้ไหมครับว่าเพราะอะไร??  คำตอบก็ คือ เกลือซึ่งมีค่า pH สูง จะกระตุ้นให้เกิด Osmatic Action คือต่อมน้ำลายจะถูกกระตุ้นให้ผลิตน้ำลายมากขึ้น และอัตราการหลั่งของน้ำลายที่มากและเร็วขึ้น จะช่วยทำความสะอาดโดยดึงเศษอาหารให้หลุดออกมาจากซอกฟัน เป็นการดึงกลไกลธรรมชาติของร่างกายมาใช้ (Self-cleansing Reaction) ซึ่งป้องกันการก่อตัวของคราบหินปูนและด้วยค่า pH ที่สูงจะช่วยลดสภาวะความเป็นกรดภายในช่องปาก ซึ่งจะช่วยลดการเกิดและสะสมของแบคทีเรีย ลดฟันผุและรักษาสมดุลในช่องปาก ช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันด้วยครับ


วิธีทำ นาเกลือ สินเธาว์

      วิธีการทำนาเกลือสินเธาว์จะมีลักษณะคล้าย ๆ กันเหมือนกับนา เกลือทะเล จะแตกต่างกันบ้างก็ เพียงการนำน้ำเกลือขึ้นมาตากในนาและระยะเวลาในการตาก กล่าวคือนาเกลือสินเธาว์จะใช้ระยะเวลาในการตากน้อยกว่าเกลือทะเล ทั้งนี้ เพราะน้ำเกลือที่นำขึ้นมาตาก เกลือสินเธาว์จะมีความเข้มขึ้นกว่าน้ำเกลือทะเล คือน้ำเกลือสินเธาว์จะมีความเข้มข้นประมาณ 18-25 ดีกรีโบร เม่ ส่วนน้ำทะเลจะมีความเข้มข้น ประมาณ 4-5 ดีกรีโบร เม่ เท่านั้น

      ขั้นตอนการทำนาเกลือสินเธาว์  เริ่มจากการเตรียมพื้นที่โดยพื้นนาจะต้องบดอัดให้แน่นโดยใช้ลูกกลิ้งกลิ้งโดยรอบ ในส่วนของน้ำเกลือนั้นจะใช้วิธีเจาะขุด เหมือนการขุดเจาะบาดาลโดยทั่วไปแต่จะลึกลงไปประมาณ 40 เมตรขึ้นไปแล้วฝังท่อ PVC ลงไปเพื่อป้องกันการพังถล่ม การนำน้ำเกลือขึ้นมานั้นจะใช้เครื่องอัดลมที่มีกำลังสูง เป่าลมลงไปในท่อ น้ำเกลือที่อยู่ใต้ดินจะพุ่งขึ้นมาตามท่อ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ผลิตจะมีบ่อพักน้ำเกลืออยู่ เก็บกักแล้วปล่อยไปตามรางน้ำที่จัดไว้ปล่อยทิ้งลงไปในนาโดยปล่อยลงไปในปริมาณพอสมควรแล้วแต่ความต้องการจะเก็บเร็วหรือเก็บช้า ถ้าต้องการเก็บเร็วก็ปล่อยลงไปน้อย ๆ  แต่จะได้ปริมาณเกลือน้อยตามไปด้วย แต่โดยส่วนมากแล้ว ผู้ผลิตจะปล่อยน้ำเกลือสูงจากพื้นนาประมาณ 1 นิ้วมือ ซึ้งในปริมาณนี้จะใช้เวลา ตากประมาณ 7-10 วัน ก็สามารถเก็บเกลือได้ ดั้งนั้นในปีการผลิตหนึ่ง ๆ จะสามรถเก็บเกลือได้ 10-15 ครั้ง

สีของเกลือ


เกลือมีสีและไม่มีสี ในหลายๆกรณี สีและความใสจะถูกกำหนดโดยขนาดของรูปผลึก

เกลือมีด้วยกันในหลายๆสี ตัวอย่างเช่น


สีเหลือง (โซเดียมโครเมต) Sodium chromate
สีส้ม (โพแทซเซียมไดโครเมต) It tracks the potassium chromate
สีฟ้า (คอปเปอร์ซัลเฟตเพนตะไฮเดรต,เฟอร์ริกเฮกซะไซยาโนเฟอร์เรต) S over copper sulfate hydrate, ferric Hague Ferry County's Drug Free
สีม่วง (โฟแทซเซียมเปอร์แมงกาเนต) Four tracks with manganese super premium
สีเขียว (นิคเกิลคลอไรด์เฮกซะไฮเดรต) Nickel chloride hydrate Hague's
เกลือสีขาว (โซเดียมคลอไรด์) Sodium chloride
ไม่มีสี (แมกนีเซียมซัลเฟตเฮปตะไฮเดรต) Atlanta over magnesium sulfate hydrate
สีดำ (แมงกานีสไดออกไซด์) Manganese dioxide
แร่ธาตุและรงควัตถุส่วนใหญ่ รวมไปถึง สีย้อมอินทรีย์เป็นเกลือ สีของเกลือแต่ละชนิด ขึ้นกับการคงอยู่ของอิเล็กตรอนที่ไม่เกิดพันธะใน d-orbital ของธาตุโลหะทรานซิชัน

การละลายของเกลือ

Solubility of salt


ตัวอย่างความสามารถในการละลายของเกลือบางชนิด


Sodium chloride (NaCl) ละลาย
Silver chloride (AgCl) ไม่ละลาย
Sodium sulfate (Na2SO4) ละลาย
Zinc nitrate Zn(NO3)2 ละลาย
Barium sulfate (BaSO4 ) ไม่ละลาย
Calcium phosphate Ca3(PO4)2 ไม่ละลาย
Magnesium carbonate (MgCO3) ไม่ละลาย


ชนิดของเกลือ เกลือแบ่งออกเป็น


Normal Salts ประกอบด้วย metallic ion และ non-metallic ion ไม่มีไฮโดรเจนไอออนหรือไฮดรอกไซด์ไอออนอยู่ในโมเลกุล
ซึ่งได้จากการแทนที่ไฮโดรเจนของกรดทั้งหมดโดยโลหะ เช่น เกลือแกง ( NaCl )
Acid Salts มีเกลือบางชนิดที่ไฮโดรเจนไอออนในกรดไม่ได้ถูกแทนที่หมดโดยโลหะ เช่น
2 NaOH + H2SO4 Na2SO4 + 2H2O
Normal salt

สารประกอบเกลือ


เกลือ เป็นสารประกอบที่ประกอบด้วยไอออนบวกของโลหะ (a positive metallic ion) (รวมทั้งไฮโดรเจนไอออน) และสารไอออนลบของอโลหะ (a negative nonmetallic ion) (รวมทั้ง hydroxide ion) หากเกลือละลายในน้ำจะได้ ion บวกและ ion ลบ เช่น
NaCl Na+ + Cl-
sodium chloride sodium ion chloride ion
K2SO4 2K+ + SO4-
potassium sulfate
เกลือเป็นคำทั่ว ๆ ไปที่เรียกกัน ความจริงเกลือเป็นสารประกอบซึ่งมีหลายชนิด อย่าได้เข้าใจว่าเกลือทุกชนิดคือเกลือแกง ( NaCl ) เกลือบางชนิดมีรสเปรี้ยว, บางชนิดมีรสเฝื่อนหรือขม, บางชนิดมีรสเค็ม, บางชนิดละลายน้ำ, บางชนิดไม่ละลายน้ำ, บางชนิดละลายน้ำได้เล็กน้อย ดังเช่น
เกลือที่ละลายน้ำ ได้แก่ เกลือโซเดียม, เกลือโปตัสเซียม, เกลือแอมโมเนียม, เกลืออาซีเตท (acetate) , เกลือไนเตรท (nitrate) , เกลือของคลอไรด์ (ยกเว้นคลอไรด์ของเงิน ตะกั่ว และ ปรอท)
เกลือซัลเฟต (ยกเว้นเกลือซัลเฟตของแคลเซียม แบเรียม และตะกั่ว)
เกลือที่ไม่ละลายน้ำ ได้แก่
? คาร์โบเนท ( carbonate ) ยกเว้น โซเดียม, โปตัสเซียม และ ammonium
? ฟอสเฟต ( phosphate ) ยกเว้น โซเดียม, โปตัสเซียม และ ammonium
? ซัลไฟด์ ( sulfides ) ยกเว้น โซเดียม, โปตัสเซียม และ ammonium

เกลือเคมี  ^-^

เกลือรักษาโรค


คนเราสมัยนี้ชอบมองข้ามสิ่งใกล้ตัว จนทำให้คุณลืมสิ่งดีๆ  หลายๆสิ่งที่คุณปู่คุณย่า
ได้คิดค้นขึ้นแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อให้ลูกๆหลานๆได้ใช้ดูแลรักษาตัวเอง
ซึ้งหนึ่งในนั้นก็คือเกลือครับ เกลือสามารถนำมารักษาโรคได้หลายโรคครับ
โดยจะมีวิธีนำไปใช้ดังนี้

1.ไอเพราะเป็นหวัด
เพียงแค่คุณเอาน้ำเปล่า 1 แก้ว และผสมเกลือเหยาะๆลงไป 1 ช้อนชา
คนเบาๆจนกว่าจะละลายแล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆครั้ง
ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในคอ ทีนี้คุณก็จะไม่มีอาการไอให้รำคาญใจครับ

2.มึนหัว สมองไม่แล่น~
เพียงแค่คุณรองน้ำอุ่นๆให้เต็มถัง และหยอดเกลือลงไป2-3ช้อนชาแล้วนำมาอาบ
รับรองสมองคุณจะแล่นปรี๊ด เพราะเกลือจะเข้าไปกระตุ้นให้เลือดลมหมุนเวียนดีขึ้น
มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมองครับ

3.เร่งให้อาเจียน
ถ้าบังเอิญคุณได้รับสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา
ให้คุณดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ

4.คัดจมูก
จะแค่คัดจมูกธรรมดา หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก้ตาม ให้ใช้น้ำเกลือ
เจือจางหยอดเข้าไปรูจมูกทั้งสองข้าง น้ำเกลือจะช่วยเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก
ทีนี้คุณจะหายเป็นปลิดทิ้ง

5.คันตามผิวหนัง
ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์ครับ

6.โรคตาแดง
โรคนี้จะมีเชื้อโรคมีตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่เราสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนถึงมือหมอได้
ด้วยการน้ำผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อก่อนได้ยิ่งดี) จุ่มน้ำเกลือแล้วน้ำไปเช็ดตา(แสบแน่ๆ= ='')
หลังจากเกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคแล้ว ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง อาการจะทุเลาลง

7.แผลยุงกัด
ให้คุณรีบใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไปและรอยบวมจะยุบเร็วขึ้นด้วย

เรื่องดี ๆ ต้องเอามาแบ่งปัน  ^_^